Saturday, 11 July 2009

BREATHING THERAPY-การบำบัดโรคอาการปวดหัวด้วยวิธีธรรมชาติ

ถือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งที่มีมิตรดี ๆ ส่งบทความที่มีประโยชน์มาให้จึงขออนุญาต เอามาลงให้เผื่อมีคนหลงทางมาเข้าบล็อกนี้จะได้รรับประโยชน์ไปด้วยครับ น่าสนใจมาก ๆ การบำบัดอาการปวดหัวด้วยวิธีธรรมชาติ






จมูกคนเรามีรูจมูกซ้ายและขวา รูจมูกซ้ายและขวามีหน้าที่เหมือนกัน คือ หายใจเข้าและหายใจออกใช่หรือไม่?
ความจริงแล้วมันไม่ได้มีหน้าที่เหมือนกัน และเราสามารถรู้สึกถึงความแตกต่างได้ กล่าวคือ


รูจมูกด้านซ้ายแทนด้วยพระจันทร์ รูจมูกด้านขวาแทนด้วยพระอาทิตย์
เมื่อมีอาการปวดหัวลองใช้นิ้วปิดรูจมูกขวา และใช้รูจมูกซ้ายหายใจเป็นเวลา 5 นาที อาการปวดหัวก็อาจจะหายได้ ถ้ารู้สึกตัวว่ามีอาการเหนื่อยมาก ๆ ทำตรงกันข้ามคือ
ปิดรูจมูกซ้ายและหายใจด้วยรูจมูกขวา หลังจากนั้นคุณก็จะมีอาการสดชี่นขึ้นอีกครั้ง
ส่วนด้านซ้ายก็ได้รับความเย็นได้ดี นั่นเป็นเพราะว่าจมูกขวาทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับความร้อนในร่างกายของเราดังนั้นจึงได้รับความร้อนโดยง่าย
ผู้หญิงหายใจด้วยรูจมูกซ้ายเป็นหลัก ดังนั้นจึงได้รับความสงบโดยง่าย ผู้ชายใช้รูจมูกขวาหายใจเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงมีอารมณ์โกรธได้ง่าย

เมื่อคนเราตื่นนอน จะสังเกตเห็นว่าเราหายใจเร็วขื้นใช่หรือไม่? ใช้รูจมูกซ้ายหรือขวา?
ถ้ารูจมูกซ้ายหายใจเร็วขึ้น คุณอาจจะรู้สึกเหนื่อยมาก ปิดรูจมูกซ้ายและใช้รูจมูกขวาหายใจ คุณก็จะมีความรู้สึกว่าสดชื่นอย่างรวดเร็ว
ถ้าคุณนำเรื่องประโยชน์ที่ได้รับจากบำบัดโรคด้วยการหายใจไปสอนเด็ก ๆ จะสอนได้ดีกว่าผู้ใหญ่
ฉันเคยมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง เมื่อไปปรึกษากับหมอ หมอพูดกับฉันแบบติดตลกว่า “คุณจะมีอาการหายปวดหัว ถ้าคุณแต่งงาน”
หมอไม่พูดความจริงกับฉันเหมือนในทฤษฎีอย่างมีหลักการและยืนยันด้วยหลักฐานระหว่างนั้น
ฉันเคยมีอาการปวดหัวทุก ๆ คืน โดยไม่ทราบสาเหตุ ฉันรับประทานยาแต่ก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้
คืนหนึ่ง ขณะที่ฉันนั่งลงเพื่อให้อาการปวดหัวบรรเทาลงด้วยการใช้นิ้วปิดรูจมูกขวาและหายใจด้วยรูจมูกซ้าย ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์
มันดูเหมือนว่า ปัญหาจากอาการปวดหัวหายไป ฉันทำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งเดือน และหลังจากนั้นเป็นต้นมา
อาการปวดหัวก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลย นี่คือประสบการณ์ของฉัน
ฉันเคยบอกคนอื่น ๆ ที่มีอาการปวดหัวและรักษาด้วยวิธีนี้ ซึ่งมีผลดีต่อฉันและก็ยังมีผลดีต่อผู้ที่ใช้วิธีนี้
นี่คือการบำบัดโรคด้วยวิธีธรรมชาติ ไม่เหมือนกับการรับประทานยาเป็นเวลานานซึ่งอาจจะมีผลข้างเคียง
ดังนั้น ทำไมคุณไม่พยายามทำให้หายจากอาการปวดหัว? การฝึกปฏิบัติการหายใจในทางที่ถูกต้อง (หายใจเข้า หายใจออก)
จะทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่ผ่อนคลายเป็นอย่างมาก (แปลจาก Our noses… a very relaxing condition.)

Monday, 6 July 2009

พรุ่งนี้ก็อาสาฬหบูชา แล้ว

พรุ่งนี้ก็อาสาฬหบูชา แล้ว โปรแกรมตามเดิม ถ้าได้หยุดงานพรุ่งนี้ ก็ไปเดินสายทำบุญ ไหว้พระ ถ้าไม่ได้หยุดก็ไปทำงานเหมือนเคย แอบหวังไว้ในใจว่าจะได้หยุด

วันอาสาฬหบูชา คือ


วันอาสาฬหบูชา ตรงกับ วันเพ็ญ เดือน ๘ ก่อนปุริมพรรษา (ปุริมพรรษาเริ่ม ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ในปีที่ไม่มีอธิกมาสเป็นต้นไป ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑) ๑ วัน เป็นวันคล้ายวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา คือ เทศน์กัณฑ์แรก ชื่อว่าธัมมจักกัปปวัตตนสูตร โปรดพระปัญจวัคคีย์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมือง พาราณสี ในปีแรกที่ทรงตรัสรู้และเพราะผลของพระธรรมเทศนากัณฑ์นี้เป็นเหตุให้ท่าน พระโกณฑัญญะในจำนวนพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้ธรรมจักษุ (โสดาปัตติมรรค หรือ โสดาปัตติมรรคญาณ คือญาณที่ทำให้สำเร็จเป็นโสดาบัน) ดวงตาเห็นธรรม คือ ปัญญา รู้เห็นความจริงว่า สิ่งใดก็ตามมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงล้วนมีความดับไป เป็นธรรมดา แล้วขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระองค์ เป็นพระอริยสงฆ์องค์แรกของ พระพุทธศาสนา และทำให้พระรัตนตรัยครบองค์ ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ในเมื่อวันนี้ของทุก ๆ ปี เวียนมาถึงพุทธศาสนิกชน จึงนิยมทำการบูชาเป็นพิเศษ และ พุทธศาสนิกชนในที่บางแห่ง ยังตั้งชื่อวันอาสาฬหบูชานี้ว่า "วันพระสงฆ์" ก็มี อาสาฬหะ คือ เดือน ๘ อาสาฬหบูชา คือ การบูชาพระในวันเพ็ญเดือน ๘ ความสำคัญ ของวันเพ็ญเดือน ๘ นี้ มีอยู่อย่างไร จะได้นำพุทธประวัติตอนหนึ่งมาเล่าต่อไปนี้ นับแต่วันที่สมเด็จพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ คือ ในวันเพ็ญเดือน ๖ พระองค์ประทับเสวยวิ มุตติสุขในบริเวณโพธิมัณฑ์นั้น ตลอด ๗ สัปดาห์ คือ

- สัปดาห์ที่ ๑ คงประทับอยู่ที่ควงไม้อสัตถะอันเป็นไม้มหาโพธิ์ เพราะเป็นที่ตรัสรู้ ทรงใช้ เวลาพิจรณาปฏิจจสมุปปาทธรรมทบทวนอยู่ตลอด ๗ วัน

-
สัปดาห์ที่ ๒ เสด็จไปทางทิศอีสานของต้นโพธิ์ ประทับยืนกลางแจ้งเพ่งดูไม้มหาโพธิ์โดย ไม่กระพริบพระเนตรอยู่ในที่แห่งเดียวจนตลอด ๗ วัน ที่ที่ประทับยืนนั้นปรากฎเรียกในภายหลังว่า "อนิสิมสสเจดีย์"

-
สัปดาห์ที่ ๓ เสด็จไปประทับอยู่ในที่กึ่งกลางระหว่างอนิมิสสเจดีย์ กับต้นมหาโพธิ์แล้วทรง จงกรมอยู่ ณ ที่ตรงนั้นตลอด ๗ วัน ซึ่งต่อมาเรียกที่ตรงนั้นว่า "จงกรมเจดีย์"

-
สัปดาห์ที่ ๔ เสด็จไปทางทิศพายัพของต้นมหาโพธิ์ ประทับนั่งขัดบัลลังก์พิจารณาพระอภิ ธรรมอยู่ตลอด ๗ วัน ที่ประทับขัดสมาธิเพชร ต่อมาเรียกว่า"รัตนฆรเจดีย์"


- สัปดาห์ที่ ๕ เสด็จไปทางทิศบูรพาของต้นมหาโพธิ์ประทับ ที่ควงไม้ไทรชื่ออชาปาลนิโครธ อยู่ ตลอด ๗ วัน ในระหว่างนั้น ทรงแก้ปัญหาของพราหมณ์ผู้หนึ่งซึ่งทูลถามในเรื่องความเป็นพราหมณ์


- สัปดาห์ที่ ๖ เสด็จไปทางทิศอาคเนย์ของต้นมหาโพธิ์ ประทับที่ควงไม้จิกเสวยวิมุตติสุขอยู่ ตลอด ๗ วัน ฝนตกพรำตลอดเวลา พญานาคมาวงขดล้อมพระองค์ และแผ่พังพานบังฝนให้พระองค์ ทรงเปล่งพระอุทานสรรเสริญความสงัด และความไม่เบียดเบียนกันว่าเป็นสุบในโลก


- สัปดาห์ที่ ๗ เสด็จย้ายสถานที่ไปทางทิศใต้ของต้นมหาโพธิ์ ประทับที่ควงไม้เกดเสวยวิมุตติ สุขตลอด ๗ วัน มีพาณิช ๒ คน ชื่อ ตปุสสะ กับ ภัลลิกะเดินทางจากอุกกลชนบทมาถึงที่นั้น ได้เห็นพระพุทธองค์ประทับอยู่ จึงนำข้าวสัตตุผงข้าวสัตตุก้อน ซึ่งเป็นเสบียงกรังของตนเข้าไปถวายพระองค์ทรงรับเสวยเสร็จแล้ว สองพาณิชก็ประกาศตนเป็นอุบาสก นับเป็นอุบาสกคู่แรกในประวัติกาล ทรงพิจารณาสัตว์โลกเมื่อล่วงสัปดาห์ที่ ๗ แล้ว พระองค์เสด็จกลับมาประทับที่ควงไม้ไทรชื่ออชาปาลนิโครธอีก ทรงคำนึงว่า ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นี้ ลึกซึ้งมาก ยากที่สัตว์อื่นจะรู้ตาม จีงท้อพระทัยที่สอนสัตว์ แต่อาศัยพระกรุณาเป็นที่ตั้ง ทรงเล็งเห็นว่าโลกนี้ผู้ที่พอจะรู้ตามได้ก็คงมี ตอนนี้แสดงถึงบุคคล ๔ เหล่า เปรียบกับดอกบัว ๔ ประเภท คือ

๑. อุคฆติตัญญู ได้แก่ ผู้ที่มีอุปนิสัยสามารถรู้ธรรมวิเศษได้ทันทีทันใดในขณะที่มีผู้สอนสั่ง สอนเปรียบเทียบ เหมือนดอกบัวที่โผล่ขึ้นพ้นน้ำแล้ว พร้อมที่จะบานในเมื่อได้รับแสงพระอาทิตย์ในวันนั้น

๒. วิปัจจิตัญญู ได้แก่ ผู้ที่สามารถจะรู้ธรรมวิเศษได้ ต่อเมื่อท่านขยายความย่อให้พิสดารออกไปเปรียบเหมือนดอกบัวที่ตั้งอยู่เสมอ ระดับน้ำ จักบานในวันรุ่งขี้น

๓. เนยยะ ได้แก่ ผู้ที่พากเพียรพยายาม ฟัง คิด ถาม ท่องอยู่เสมอไม่ทอดทิ้ง จึงได้รู้ธรรม วิเศษ เปรียบเหมือนดอกบัวที่ยังไม่โผล่ขึ้นจากน้ำ ได้รับการหล่อเลี้ยงจากน้ำ แต่จะโผล่แล้วบานขี้นในวันต่อๆ ไป

๔. ปทปรมะ ได้แก่ ผู้ที่แม้ฟัง คิด ถาม ท่อง แล้วก็ไม่สามารถรู้ธรรมวิเศษได้ เปรียบเหมือน ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำติดกับเปือกตม รังแต่จะเป็นภักษาหารแห่งปลาและเต่า เมื่อเล็งเห็นเหตุนี้ จึงตกลงพระทัยจะสอน ทรงนึกถึงผู้ที่ควรโปรดก่อนคือ อาฬารดาบส กับ อุทกดาบส ท่านเหล่านี้ก็หาบุญไม่เสียแล้ว จะมีอยู่ก็แต่ปัญจวัคคีย์ จีงทรงตัดสินพระทัยว่า ควรโปรดปัญจวัคคีย์ก่อน แล้วก็เสด็จออกเดินไปจากควงไม้ไทรนั้น มุ่งพระพักตร์เสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี การที่เสด็จเดินทางจากตำบลพระศรีมหาโพธิ์ จนกระทั่งถึงกรุงพาราณสีเช่นนี้ แสดงให้เห็น เพระวิริยอุตสาหะอันแรงกล้าเป็นการตั้งพระทัยแน่วแน่ ที่จะประทานปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์เป็นพวกแรกอย่างแทัจริง หนทางระหว่างตำบลพระศรีมหาโพธิ์ถึงพาราณสีนั้น ในปัจจุบัน ถ้าไปทางรถไฟก็เป็นเวลา ๗-๘ชั่วโมง การเสด็จดำเนินด้วยพระบาทเปล่า อาจใช้เวลาตั้งหลายวัน แต่ปรากฏว่าพอตอนเย็นขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอาสาฬหะนั้นเอง

พระพุทธองค์ก็เสด็จถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวันแขวงเมืองพาราณสี อันเป็นที่อยู่แห่งปัจจวัคคีย์พอเสด็จ เข้าราวป่าพวกปัญจจวัคคีย์นั้นได้เห็นจึงนัดหมายกันว่า จะไม่ไหว้ ไม่ลุกรับ และไม่รับบาตรจีวรจะตั้งไว้ให้เพียงอาสนะเท่านั้น เพราะเข้าใจว่าพระองค์ กลายเป็นคนมีความมักมากหมดความเพียรเสียแล้ว พอพระองค์เสด็จถึง ต่างก็พูดกับพระองค์โดยไม่เคารพ พระองค์ตรัสห้าม และทรงบอกว่าพระองค์ตรัสรู้แล้วจะแสดงธรรมสั่งสอนให้ ฟังพราหมณ์ทั้ง ๕ ก็พากันคัดค้านลำเลิกด้วยถ้อยคำต่างๆ ที่สุดพระองค์จึงทรงแจงเตือนให้รำลึกว่า พระองค์เคย

๑. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ
๒. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ
๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ
๔. สัมมากัมมัตนะ ทำการงานชอบ
๕. สัมมอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ
๖. สัมมาวายามะ เพียรชอบ
๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ
๘. สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ

สรุปด้วยอริยสัจ ๔ ได้แก่
๑. ทุกข์ความไม่สบายกายไม่สบายใจ
๒. สมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์
๓. นิโรธความดับทุกข์
๔. มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ชี้ให้เห็นโดยปริวรรตและอาการต่างๆ ว่า เมื่อรู้แล้วอาจยืนยันได้ว่า ตรัสรู้โดยชอบถึงความ หลุดพ้นและสุดชาติสุดภพแน่นอน ขณะที่พระองค์ทรงแสดงธรรมนี้อยู่ ท่านโกณฑัญญะได้ส่องญาณไปตามจนเกิด "ธรรมจักษุ" คือดวงตาเห็นธรรมขึ้นทางปัญญาพระองค์ทรงทราบจึงเปล่งพระอุทานว่า "อัญญสิๆ""อัญญสิๆ"(โกณฑัญญะรู้แล้วๆ)เพราะพระองค์ทรงอุทานนี้ภายหลังท่าน โกณฑัญญะจึงได้นามใหม่ว่า "อัญญาโกณฑัญญะ" แต่นั้นก็ทูลขอบรรพชาพระองค์ประทานอนุญาตด้วยเอหิภิขุอุปสัมปทาน นับเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระศาสนาที่บวชตามพระพุทธองค์ ตามพุทธประวัติที่เล่ามานี้ จะเห็นว่า วันอาสาฬหบูชามีความสำคัญ คือ

๑. เป็นวันแรกที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา
๒.เป็นวันแรกที่พระบรมศาสดาทรงแสดงพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ประกาศสัจจธรรมอันเป็นองค์แห่งสัมมาสัมโพธิญาณ
๓.เป็นวันที่พระอริยสงฆ์สาวกองค์แรกบังเกิดขึ้นในโลก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้รับประทานเอหิภิขุอุปสัมปทาในวันนั้น
๔. เป็นวันแรกที่บังเกิดพระสังฆรัตนะสมบูรณ์เป็นพระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะพระธรรมรัตนะพระสังฆรัตนะ

โลกส่วนตัวได้เกิดขึ้นแล้ว

บล็อกนี้สร้างขึ้นมาเพื่อเก็บสิ่งที่ผมสนใจ ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำสิ่งใดให้เสียหาย หากท่านใดเข้ามาอ่านแล้วเกิดไม่พอใจอย่างไร ผมขอโทษด้วยครับ