Monday 17 August 2009

บริหารคอ เพิ่มพลัง บรรเทาปวด

อาการปวดเมื่อยบริเวณคอ มักจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับหลาย ๆ คน โดยอาการดังกล่าวอาจเป็นผลมาจากการทำงาน เช่น นั่งหลังค่อมหดลำคอจ้องจอคอมพิวเตอร์ ก้มหน้าอ่านหนังสือเป็นเวลานาน หรือการเอียงคอเพื่อให้ศีรษะหนีบโทรศัพท์แทนการถือด้วยมือ

ปวดคอ ปวดหลัง

พฤติกรรมดังกล่าว หากทำบ่อย ๆ จะส่งเสียต่อกล้ามเนื้อบริเวณคอ และเกิดอาการปวดเมื่อย คุณผู้อ่านจึงควร ลด ละ เลิก พฤติกรรมดังกล่าว และหันมาบริหารคอ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณคอ ตามคำแนะนำต่อไปนี้... ยืดเหยียดคอ -ตั้งคอตรง และเอียงคอลงไปทางซ้ายสลับขวา -หันคอไปทางด้านซ้ายสลับขวา -ตั้งคอตรง เงยหน้าเอียงคอไปข้างหลัง กลับมาตั้งคอตรง และก้มหน้า เอียงศีรษะลงพื้น เสริมความแข็งแรงของคอ -ตั้งคอตรง ใช้ฝ่ามือข้างใดข้างใดข้างหนึ่ง วางที่หน้าผาก ก้มศีรษะไปด้านหน้า โดยให้ฝ่ามือดังกล่าวเป็นตัวต้าน เสริมความแข็งแรงให้คอด้านหน้า -เสริมความแข็งแรงของคอด้านหลัง ด้วยการประสานมือทั้งสองข้างไว้ที่ด้านหลังศีรษะ เงยหน้ากดศีรษะไปด้านหลัง ให้มือทั้งสองออกแรงต้าน -ตั้งคอตรง วางฝ่ามือเหนือใบหู เอนคอไปด้านข้าง ให้ฝ่ามือช่วยต้าน แล้วสลับทำอีกด้าน เพื่อเสริมความแข็งแรงคำด้านข้าง -และเสริมความแข็งแรงให้กับคอด้านข้างในลักษณะหัน ด้วยการวางฝ่ามือที่แก้มใกล้ใบหู ออกแรงหันหน้าต้านฝ่ามือ ทำสลับอีกด้าน ข้อควรรู้ การบริหารคอในท่าต่าง ๆ ข้างต้น ควรทำค้างแต่ละท่าราว 20 วินาที และไม่บริหารคอด้วยความรุนแรง เพราะอาจเกิดอาการบาดเจ็บได้

ระวัง! นอนไม่พอเสี่ยงเป็นเบาหวานเพิ่มขึ้น

คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐ เสนอผลการศึกษาล่าสุด พบว่า การนอนมีผลต่อความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน โดยเฉพาะคนที่นอนน้อยในเวลากลางคืน ประกอบกับไม่ออกกำลังกายและรับประทานอาหารมากเกินพอดี อาจยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเป็นเบาหวานมากขึ้น

นายแพทย์พลาเมน เปเนฟ นักวิจัยอาวุโสของมหาวิทยาลัยชิคาโกและคณะทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างเพศชายและ หญิงวัยกลางคน จำนวน 11 คนที่มีสุขภาพดี แต่ไม่ออกกำลังกาย ผู้วิจัยได้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ทำการเก็บข้อมูลนาน 14 วัน โดยให้พวกเขาเหล่านี้เอาแต่นั่งๆ นอนๆ และทานอาหารได้อย่างเต็มที่ ส่วนการนอนก็ให้นอนคืนละ 5 ชั่วโมงครึ่ง และ 8 ชั่วโมงครึ่ง

สิ่งที่พบคือ ผู้ใหญ่ที่มีเวลานอนลดลงจาก 8 ชั่วโมงครึ่งเหลือ 5 ชั่วโมงครึ่ง จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ต่อการตอบสนองการตรวจสอบน้ำตาล ซึ่งเป็นลักษณะที่คล้ายคลึงกับคนที่กำลังมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการเป็นเบา หวาน

หากผลการวิจัยนี้ได้รับคำยืนยันจากการศึกษากับกลุ่มตัวอย่างที่มากขึ้น ก็จะเป็นสิ่งบ่งชี้อีกอย่างหนึ่งว่า การนอนหลับอย่างเพียงพอมีความสำคัญต่อการหลีกเลี่ยงโรคเบาหวานได้พอๆ กับการทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ

mcot.net โดย mcot.net

10ท่ากระชับสัดส่วนสวย

สาว ๆ วัยทำงานที่รู้สึกว่าตัวเองคือมนุษย์เงินเดือน ต่างก็ทุ่มเทเวลาให้กับการทำงาน หลังเลิกงานก็ตรงกลับบ้าน และเลือกที่จะดูแลตนเองเพียงแค่ควบคุมอาหารการกิน ดูแลผิวพรรณ และนอนหลับพักผ่อน เพราะหลายคนรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะไปออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอ

หากไม่ยืดเส้น ยืดสาย ขยับแขนขากันบ้าง ระวังสัดส่วนจะไม่กระชับดั่งใจ และอาจจะต้องทนเมื่อยล้ากล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ เพราะฉะนั้น ลองหันมาออกกำลังกายในท่าง่าย ๆ ทำได้ที่บ้านทั้ง 10 ท่า ต่อไปนี้...

ออกกำลังกาย

1.บริหารต้นขาและสะโพก ด้วยการนอนตะแคงข้าง ยกขาข้างหนึ่งขึ้น-ลง และสลับทำอีกข้าง

2.บริหารหน้าท้องและต้นขา ให้นอนหงาย ชันเข่าขึ้น ก่อนยกศีรษะไปทางด้านขวาพร้อมยกขาขวา หากยกศีรษะไปทางด้านซ้าย ก็ให้ยกขาซ้าย

3.บริหารช่วงเอว ยืนตรงแยกขาทั้งสองข้างห่างพอประมาณ จากนั้นยกแขนให้มือทั้งสองข้างประสานกันโดยหงายฝ่ามือออก และเอียงตัวไปด้านข้างสลับกันไปมา

4.บริหารแผ่นหลัง ช่วงหน้าอก และต้นขา ยกแขน และขาทั้งสองข้างขึ้น-ลงพร้อม ๆ กัน

5.บริหารต้นขา และหน้าท้อง ให้นอนราบ วางแขนสองสองข้างแนบลำตัว ยกขาทั้งสองข้างขึ้น-ลง

6.บริหารหน้าขา นอนราบกับพื้น แขนสองข้างวางแนบลำตัว ยกขาเตะสลับ สองจังหวะ

7.บริหารต้นขา ยืนตรง แยกปลายเท้าห่างพอสมควร มือสองข้างจับช่วงเอว แล้วยอตัวขึ้น-ลง

8.บริหารคอ ยืนตรง แขนแนวลำตัว หันศีรษะและลำตัวไปด้านซ้ายสลับขวา

9.บริหารสะโพก ให้คว่ำหน้าลงพื้น ชันศอกและเข่า ยกขาเหยียดตรงออกนอกลำตัวไปทางด้านหลังสลับขาซ้าย-ขวา

10.บริหารต้นขาและสะโพก ด้วยการนอนราบลงกับพื้น วางแขนชิดลำตัว ยกขาทั้งสองข้างพร้อมกันในลักษณะงอเข่า พยามให้หน้าขาชิดถึงบริเวณหน้าท้อง

บริหารร่างกายด้วยท่าข้างต้นเป็นประจำ จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อ แถมยังช่วยกระชับสัดส่วนได้ดี เหมาะกับสาว ๆ ที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายอย่างจริงจัง ...วันนี้ กลับถึงบ้านแล้วลองทำดู.

นสพ.เดลินิวส์ โดย นสพ.เดลินิวส์

รูปภาพจาก Getty Images

สวยสั่งได้ ด้วยโยคะ

การฝึกโยคะมีผลต่อจิตของกายในทุกๆ ด้าน เช่น ด้านร่างกาย โดยผ่อนคลาย รักษา และสร้างความแข็งแรง ยืดเส้นยืดสายระบบกระดูก กล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อหัวใจ ระบบการย่อยอาหาร ต่อมต่างๆ ในร่างกาย และระบบประสาท ผลทางด้านจิตใจ จะเกิดผ่านการสร้างจิตใจที่สงบ ความตื่นตัวและสมาธิ ผลทางด้านจิตวิญญาณ คือ การเตรียมพร้อม สำหรับการทำสมาธิ และสร้างความแข็งแกร่งจาก "ภายใน"

ท่าง่ายๆ สำหรับช่วงเวลาที่เร่งรีบ โยคะไม่จำเป็นต้องไปทำตามสถานโยคะเสมอไป เรามีโยคะง่ายๆ ที่คุณสามารถทำเองได้ ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน

งั้นเรามาเริ่มรู้จักท่าง่ายๆ สำหรับเรากันเลยค่ะ

1. นวดหลัง นอนหงายราบกับพื้น งอหัวเข่าทั้งสองข้างเข้ามาชิดหน้าอก และใช้มือทั้งสองข้างกอดเข่าไว้ พลิกตัวไปข้างซ้ายและขวาสลับกัน จากนั้นโยกตัวไปข้างหน้าและหลัง
2. หายใจ นั่งขัดสมาธิ หลับตา ค่อยๆ หายใจเข้าออกลึกๆ นั่งสงบเช่นนี้ประมาณ 5 นาที จะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดได้
3. ทำตัวให้อ่อน คุกเข่าลงกับพื้น มือทั้งสองยันพื้น (เหมือนเตรียมจะคลาน) แอ่นหลังโดยยกศีรษะ และสะโพกขึ้นพร้อมกับสูดหายใจเข้า อยู่ในท่านี้ประมาณ 2-3 วินาที หลังจากนั้นโก่งหลังโดยเก็บศีรษะ และสะโพกพร้อมๆ กับผ่อนลมหายใจออก (เหมือนกับแมวโก่งตัว) ทำ 2 ท่านี้ติดกันหลายๆ ครั้ง จะช่วยให้ กระดูกสันหลังอ่อนตัว ท่วงท่าสง่างามขึ้น
4. คลายเครียดขณะเดินทาง ผ่อนคลายความตึงเครียด ด้วยการโยกศีรษะไปข้างหน้า ข้างหลัง ซ้ายและขวา จากนั้นตั้งศีรษะ ให้ตรง ยกไหล่ทั้งสองข้างขึ้นค้างไว้ 2-3 วินาที แล้วจึงปล่อยลงสู่ท่าปกติทำซ้ำหลายๆ ครั้ง
5. ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้าด้วยการร้องเพลงโปรดให้ดังที่สุด
6. ในที่ทำงาน นั่งหลังตรงเพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดี โดยจินตนาการว่ามีเชือกหนึ่งเส้นดึงศีรษะอยู่ เหมือนกับหุ่นเชิด พยายามหมุนข้อมือไปรอบๆ ให้เป็นนิสัย เพราะข้อมือมักจะไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวยามใช้แป้นพิมพ์นานๆ การกำมือสลับกางนิ้วให้เต็มที่ก็เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับมือ และนิ้ว
7. พักสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง ตั้งศีรษะให้ตรง กลอกตาไปมาทั้งซ้ายและขวา เหลือบขึ้นข้างบนและลงล่าง จากนั้นหลับตาสักพัก
ช่วงระยะเวลาการเล่นโยคะที่ปลอดภัย
1. ไม่แนะนำให้เล่นตอนเที่ยง เพราะจะเป็นช่วงที่ blood pressure สูงมากที่สุด เนื่องจากแรงดึงดูดของพระอาทิตย์ต่อโลกจะแรงในตอนกลางวัน (ซึ่งจะสังเกตได้จากน้ำหนักของตัวเราจะเบา แต่หากชั่งน้ำหนักตอนเที่ยงคืน น้ำหนักของเราจะหนักที่สุด) แต่สามารถเล่นได้ก่อน หรือหลังเที่ยง
2. ควรเล่นหลังจากรับประทานแล้วอย่างน้อย 2-3 ชม. เพราะช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ร่างกายกำลังย่อยอาหาร ซึ่งร่างกายมีความต้องการ พลังงาน เลือด ออกซิเจนไปช่วยในการย่อยอาหาร หากเราออกกำลังกายช่วงนั้นจะทำให้ร่างกายแย่งเลือด และ ออกซิเจนเพื่อไปเผาผลาญในส่วนอื่น ซึ่งจะส่งผลในทางลบกับร่างกายในระยะยาว
3. ไม่ควรเล่นหลัง 3 ทุ่มไปแล้ว เพราะจะทำให้ร่างกายตื่นตัวเกิน จะมีการเผาผลาญซึ่งใช้เวลา 2 ชั่วโมง ซึ่งอาจส่งผลแก่การนอนหลับ (ปกติจะมีเวลาชีวิต ซึ่งแนะนำให้นอนก่อนเที่ยงคืน)
4. หากเป็นคนอ้วนต้องการการเผาผลาญมาก แนะนำให้เล่นตอนเช้า เพราะร่างกายจะเผาผลาญได้ดี แต่คนผอม คลอเลสเตอรอลสูง เลือดจาง ระบบการเผาผลาญไม่มีปัญหา หากเล่นตอนเช้าจะเพลีย เหนื่อยง่าย รู้สึกง่วงนอนตอนช่วงบ่าย ซึ่งคนผอมโดยทั่วไป จะมีลักษณะที่เป็นคนเครียดง่าย มีการสะสม toxic คือกรดแลคติคในร่างกายมาก ผิวแห้ง ผมแห้ง ท้องผูก และนอนหลับยาก คนผอมเหล่านี้ควรจะเล่นช่วงเย็นจะดีกว่า เพราะเป็นการล้างกรดแลคติคออกไป หลังจากเล่นแล้ว จะนอนหลับสบาย
5. การใช้เวลาเล่นควรจะอย่างน้อย 1 ชม และแนะนำให้อยู่ในที่อากาศปกติ (ไม่ควรเล่นในห้องแอร์) เพราะจะช่วยในการหายใจ และ จะทำให้เหงื่อออกได้ เมื่อเหงื่อออกจะช่วยขับของเสียในร่างกาย

สำหรับคุณสาวๆ ที่รักสุขภาพ แต่ไม่ต้องการออกกำลังกายที่หนักเกินไป ขอแนะนำการออกกำลังกายด้วยวิธีนี้กันเลยค่ะ สวยใส ไร้โรคภัยไข้เจ็บ ด้วยวิธีง่ายๆ ถ้าท่านใดสนใจลองทำกันดูนะคะ

Crystal โดย Crystal

เชื่อหรือไม่...สาวผิวขาวแสนสวยคนนี้ แท้จริงเป็นคนผิวสีที่ป่วยโรคเดียวกับ ไมเคิล แจ๊กสัน !

เชื่อหรือไม่...สาวผิวขาวแสนสวยคนนี้ แท้จริงเป็นคนผิวสีที่ป่วยโรคเดียวกับ ไมเคิล แจ๊กสัน !

เรื่องราวของหญิงสาวผิวสีคนนี้อาจเป็นคำตอบหรือข้อยืนยันสำหรับหลายคนที่มีความสงสัยเกี่ยวกับการ เปลี่ยนสีผิว จากผิวสีดำกลายเป็นผิวขาวของราชาเพลงป็อปผู้ล่วงลับ ไมเคิล แจ๊กสัน เพราะผู้หญิงคนนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า โรคด่างขาว อาการผิดปกติของผิวหนังชนิดหนึ่ง สามารถทำให้คนผิวสีกลายเป็นคนผิวขาวไปทั้งตัวได้อย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้

ทุกวันนี้ สาววัย 23 ปี ที่ชื่อว่า ดาร์เซล เดอ วลูกท์ ต้องทาครีมกันแดดชนิดดีที่สุดทุกวันในชีวิตของเธอ แม้ว่าวันนั้นจะไม่มีแดดออกก็ตาม เธอเป็นผู้ป่วยโรคด่างขาวกรณีหาได้ยากมาก เพราะว่าโรคนี้ทำให้เธอเปลี่ยนเป็นคนผิวขาวอย่างสมบูรณ์ และทำให้เธอต้องมีปัญหาทุกครั้งในความพยายามอธิบายความจริงว่า ที่แท้เธอเป็นคนผิวสี

ดาร์เซล ในวัยเด็ก ขณะที่อาการด่างขาวเริ่มแสดงออกมา

"ฉันเหนื่อยมากกับการพยายามอธิบายให้ใครเข้าใจว่า ฉันเกิดเป็นคนผิวสี และพ่อแม่ของฉันมาจากประเทศทรินิแดด" ดาร์เซล กล่าวและว่า พ่อแม่ของเธอเริ่มสังเกตความผิดปกติเมื่อเธออายุ 5 ขวบ เพราะเกิดจุดขาวๆ ขึ้นที่ต้นแขนและหน้าผาก และเมื่ออายุได้ 7 ขวบ ผิวหนังที่ขาก็กลายเป็นสีขาว และเริ่มมีจุดสีขาวไปทั่วทั้งร่าง

ดาร์เซล ซึ่งปัจจุบันประกอบอาชีพเป็นแฟชั่นดีไซน์เนอร์ กล่าวต่อว่า เมื่ออายุ 17 ปี เธอก็กลายเป็นคนผิวขาวอย่างสมบูรณ์ ทั้งที่ไม่มีใครในตระกูลฉันเคยมีประวัติเป็นโรคด่างขาวมากก่อน ส่วนคนที่แต่งงานกับตระกูลของเธอก็มีอาการนี้เหมือนกัน แต่ไม่หนักแบบนี้

เมื่อถูกถามถึงอาการป่วยของไมเคิล ดาร์เซล เชื่อว่า ราชาเพลงป็อปเป็นโรคเดียวกับเธอ และมีรอยด่างขาวบนร่างกายบางส่วน ไมเคิลจึงต้องทำให้ร่างกายส่วนอื่นมีสีผิวขาวตามไปด้วย แต่เธอโชคดีที่ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพราะทุกส่วนมันขาวไปหมดแล้ว

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า กรณีแบบดาร์เซลถือว่าหาได้ยากมาก และโรคนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ 1 ใน 100 คนในทุกช่วงอายุ