Friday 17 July 2009

ข้าวกล้องงอกดีอย่างไร?

ดูแลสุขภาพด้วย น้ำข้าวกล้องงอก












เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

เวลา นี้อาหารสุขภาพยอดฮิตที่ถูกถามหากันมากที่สุด คงหนีไม่พ้น "น้ำข้าวกล้องงอก" เป็นแน่ เพราะตั้งแต่ผ่านพ้นช่วงปีใหม่มา "น้ำข้าวกล้องงอก" ก็ได้รับความสนใจและเป็นที่ต้องการเป็นพิเศษ วันนี้กระปุกเลยนำเรื่องราวของข้าวกล้องงอกมาฝาก พร้อมวิธีทำน้ำข้าวกล้องงอกด้วยค่ะ

เรื่องราวของ "ข้าวกล้อง" และ "ข้าวกล้องงอก"

สำหรับข้าวกล้องนี้ถือว่าเป็นเมนูยอดฮิตของคนรักสุขภาพเลยทีเดียว โดยข้าวกล้องนั้น ก็คือข้าวที่ผ่านกรรมวิธีการสีเพียงครั้งเดียว เพื่อให้เปลือก (แกลบ) หลุดออกไป ดังนั้นจึงยังมีจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวที่เป็นสีน้ำตาลและสีแดง (รำ) เหลืออยู่ ต่างจากข้าวประเภทอื่นๆที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวัน ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวหลุดลอกออกไปหมดแล้ว

จมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) นี่แหละค่ะที่เป็นแหล่งอุดมไปด้วยกรดไฟติก (Phytic acid) วิตามินบี 1 บี 2 บี 6 บี 12 วิตามินซี วิตามินอี สารกาบา (Gamma amino butyric acid) เส้นใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่นิยมรับประทานข้าวกล้องมากนัก ด้วยข้าวกล้องจะมีเนื้อแข็ง เพราะมีกากเยอะจึงไม่นิ่มเหมือนข้าวประเภทอื่นๆ ทำให้รู้สึกว่าทานไม่อร่อยนั่นเอง

ส่วนข้าวกล้องงอก เป็นเรื่องที่เพิ่งได้ยินกันไม่นานนี้เอง ซึ่งข้าวกล้องงอก (Germinated brown rice หรือ GABA-rice) เป็นข้าวกล้องที่ต้องนำมาผ่านกระบวนการงอกเสียก่อน พอนำข้าวกล้องมาแช่น้ำจนกลายเป็นข้าวกล้องงอกแล้ว จะทำให้ข้าวกล้องมีสารอาหารเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสารกาบา และข้าวกล้องที่แช่น้ำทิ้งไว้แล้วเมื่อนำไปหุงก็จะได้ข้าวที่นุ่มน่ารับ ประทานกว่าข้าวกล้องธรรมดาด้วย

"สารกาบา" พระเอกของข้าวกล้องงอก

สารกาบา หรือ Gamma amino butyric acid เป็นกรดอะมิโนจากกระบวนการ Decarboxylation ของ กรดกลูตามิก ( Gutamic acid) กรดนี้มีความสําคัญในการทำหน้าที่สารสื่อประสาท (Neurotransmitter) ในระบบประสาทส่วนกลาง และสารกาบายังเป็นสารสื่อประสาทประเภทสารยับยั้ง (Inhibitor) โดยจะทำหน้าที่รักษาสมดุลในสมอง ช่วยทำให้สมองผ่อนคลายและนอนหลับสบาย อีกทั้งยังทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นต่อมไร้ท่อ (Anterior Pituitary) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต (HGH) ทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้กล้ามเนื้อกระชับ และเกิดสาร Lipotropic ป้องกันการสะสมไขมัน

จาก การศึกษาและวิจัยพบว่า การบริโภคข้าวกล้องงอกที่มีสารกาบามากกว่าข้าวกล้องปกติ 15 เท่า จะสามารถป้องกันการทำลายสมอง และโรคสูญเสียความทรงจำ หรืออัลไซเมอร์ได้ ดังนั้น จึงได้มีการนำสารกาบามาใช้ในวงการแพทย์เพื่อการรักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาท ต่างๆ หลายโรค เช่น โรควิตกกังวล โรคนอนไม่หลับ โรคลมชัก เป็นต้น รวมทั้งผลการวิจัยด้านสุขภาพระบุว่าข้าวกล้องงอกที่ประกอบด้วยสารกาบา มีผลช่วยลดความดันโลหิต ลด LDL (Low Density lipoprotein) ลดอาการอัลไซเมอร์ ลดน้ำหนัก ทำให้ผิวพรรณดี และใช้บำบัดโรคเกี่ยวกับระบบประสาทส่วนกลางได้อีก

ประโยชน์ของข้าวกล้องงอก

ประโยชน์ที่ได้จากการรับประทานข้าวกล้องงอกนั้น นอกจากจะเป็นประโยชน์ที่ได้รับจากสารกาบา ไม่ว่าจะเป็นช่วยให้สมองผ่อนคลาย ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ บำรุงระบบประสาท หรือลดความดันโลหิตแล้ว การรับประทานข้าวกล้องงอกยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ช่วยระบบย่อยอาหาร ช่วยให้สมองผ่อนคลาย นอนหลับสบาย และช่วยควบคุมน้ำหนักตัวได้ด้วย แถมยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ ไม่ให้แก่ก่อนวัยได้อีก (สาวๆ ต้องฟังไว้) ถือได้ว่าแค่รับประทานข้าวกล้องงอกก็ครบถ้วนไปด้วยสารที่มีประโยชน์ต่อร่าง กายทั้งสิ้น

ผู้ที่ไม่ควรทานข้าวกล้องงอก

สารต่างๆในข้าวกล้องงอกล้วนมีประโยชน์มากมาย ดังนั้นข้าวกล้องงอกจึงมีประโยชน์ต่อทุกเพศ ทุกวัย ยกเว้นกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเกาต์ ที่ไม่ควรรับประทาน เพราะเมล็ดข้าวกล้อง หรือยอดผักต่างๆ ที่กำลังจะงอก จะมีสารยูริคจำนวนมาก ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคเกาต์ ซึ่งเป็นโรคเกิดจากการที่มีสารยูริคจำนวนมากสะสมอยู่ตามข้อ จนเกิดการอักเสบนั่นเอง


วิธีทำน้ำข้าวกล้องงอกด้วยตัวเอง


ตบท้ายด้วยขั้นตอนการทำน้ำข้าวกล้องสำหรับรับประทานเอง

1.คัดเลือกข้าวกล้อง โดยข้าวกล้องที่สามารถนำมาแช่น้ำให้เกิดการงอกได้ดีนั้นจะต้องเป็นข้าวกล้อง ใหม่ ที่ผ่านการกะเทาะเปลือกมาไม่เกิน 2 สัปดาห์ (ถ้าเป็นข้าวเก่า ส่วนปลายจะไม่สามารถงอกออกมาได้)

2.นำเมล็ดข้าวกล้องใหม่นั้นมาซาวน้ำ ล้างเอากรวดทรายออกก่อนหนึ่งครั้ง

3.นำข้าวกล้องไปแช่น้ำประมาณ 1 ลิตร ทิ้งไว้ประมาณ 5-6 ชั่วโมง จะเกิดเป็นตุ่มงอกสีขาวขึ้นมาที่เมล็ดข้าว

4.จากนั้นนำข้าวขึ้นมาผึ่งให้แห้ง แล้วนำไปต้มให้เดือดโดยใช้ไฟปานกลาง แต่อย่าให้เดือดมาก เพราะถ้าร้อนมากไป สารกาบาจะถูกทำลายมาก แต่หากเดือดพอดีแล้วให้เคี่ยวต่อไปสัก 15-20 นาที สารกาบาจะยังเหลืออยู่ถึง 70% ซึ่งเป็นปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกาย

5.เสร็จแล้วให้ใช้ผ้าขาวบางหรือตะแกรงกรองน้ำข้าวมารับประทานได้ทันที หรือจะเติมเกลือ น้ำตาลเล็กน้อย เพื่อให้ได้รสชาติที่ถูกปากค่ะ

ท้าย นี้เรามีวิธีหุงข้าวกล้องมาฝากกันค่ะ โดยถ้าอยากหุงข้าวกล้องให้อร่อยนุ่มล่ะก็ จะต้องนำข้าวกล้องไปแช่น้ำทิ้งไว้ก่อนประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้เมล็ดข้าวบานออกเล็กน้อย จากนั้นนำไปหุงก็จะได้ข้าวที่นุ่มน่ารับประทาน ซึ่งการหุงข้าวนี้จะทำให้สารกาบ้าถูกทำลายไป 40 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ถือว่าเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว แต่ถ้าทำเป็นข้าวกล้องงอกขึ้นมา จะช่วยเพิ่มสารอาหารให้มากขึ้นกว่า 10 เท่า เลยล่ะค่ะ

รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมลองไปทำน้ำข้าวกล้องงอกทานกันนะคะ เพราะแค่รับประทานข้าวกล้อง หรือ น้ำข้าวกล้องงอก เราก็จะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนมีประโยชน์ โดยไม่ต้องไปหาซื้ออาหารเสริมมารับประทานเลยล่ะ

Thursday 16 July 2009

เตือนภัยมดคันไฟพันธ์ใหม่



เตือน
'อิวิคต้า'มดคันไฟมหาภัยกัดต่อยถึงตาย

นัก วิชาการเตือนภัยคุกคามของมด คันไฟตัวใหม่พันธุ์ "อิวิคต้า" จากอเมริกาใต้ กำลังแพร่ระบาดเข้าสู่เอเชีย มีพิษร้ายกัดถึงตาย คาดว่าจะเข้าไทยในไม่ช้านี้ ชี้สาเหตุเกิดจากภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ของมด

รศ. ดร.เดชา วิวัฒน์วิทยา อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยาป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า ภาวะโลกร้อนส่งผลให้เกิดการแพร่ขยายพันธุ์ของแมลงและมดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในขณะนี้มีมดคันไฟตัวใหม่สายพันธุ์อิวิคต้า มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ กำลังแพร่ระบาดไปเกือบทั่วโลก และเริ่มเข้ามาในเอเชียแล้ว โดยพบได้ในประเทศไต้หวันและฮ่องกง คาดว่าจะเข้ามาสู่ประเทศไทยในไม่ช้านี้ ทั้งนี้ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังการคุกคามของมดคันไฟอิวิคต้า เพราะมีพิษร้ายแรง เมื่อกัดต่อยคนแล้วจะทำให้ผิวหนังอักเสบ คนที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรงก็อาจหมดสติและเสียชีวิตได้

"มดคันไฟชนิด นี้สามารถปรับตัวและขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ประเทศที่มีการระบาดอย่างหนัก เช่น สหรัฐอเมริกา ได้จัดตั้งศูนย์เตือนภัยขึ้นเพื่อยับยั้งการขยายพันธุ์ บรรเทาความเดือดร้อนของผู้ที่โดนต่อย และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการกัดกินพืชผักต่างๆ ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่มดคันไฟตัวใหม่จะเข้ามาในประเทศไทย ด้วยการติดมากับเรือสินค้าหรือการขนส่งทางอื่นๆ" รศ.ดร.เดชากล่าวเตือน

นัก วิชาการ ม.เกษตรศาสตร์ กล่าวอีกว่า สำหรับความร้ายแรงของมดคันไฟอิวิคต้า คือเหล็กในมีพิษสะสมทำให้เกิดอาการไหม้และคันอย่างรุนแรง พิษจะออกฤทธิ์อยู่นานเป็นชั่วโมง และเป็นเม็ดตุ่มพองซึ่งกลายเป็นหนองสีขาว ทำให้เนื้อเยื่อตายและเป็นอันตรายต่อชีวิต สำหรับรูปร่างหน้าตาภายนอกของมดคันไฟชนิดนี้ แทบจะไม่มีความแตกต่างจากมดคันไฟที่พบเห็นในไทย แต่จะมีผิวลำตัวเรียบและสดใสกว่า ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่ามีฟันตรงกลางริมฝีปากบน และมองด้วยตาเปล่าไม่ค่อยเห็นต้องอาศัยแว่นขยาย

ส่วนการสร้างถิ่น อาศัยจะเป็นแบบรังหรือจอมโดยใช้มูลดิน ซึ่งจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 1 เมตร ความสูงประมาณ 4-24 นิ้ว และมีจำนวนประชากรมากถึง 500,000 ตัวต่อรัง ชอบอยู่ในบริเวณที่มีน้ำไหลเวียน พื้นที่การเกษตร แม่น้ำลำคลองและชายทะเล ขณะที่มดคันไฟธรรมดาในไทยจะสร้างรังเรียบๆ กับพื้น ไม่มีจอม และมีจำนวนเพียง 10,000 ตัวต่อรัง

รศ.ดร.เดชาระบุว่า ในสหรัฐอเมริกา มดชนิดนี้สร้างความเสียหายทางการเกษตรในวงกว้าง ด้วยการทำลายระบบรากของพืชต่างๆ ในพื้นที่แพร่ระบาดอย่างหนัก มดจะเข้าทำลายสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก และแมลงที่สร้างรังใต้ดิน ซึ่งได้สร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมการเกษตรเป็นมูลค่านับพันล้านบาทต่อปี ดังนั้น หากพบให้รีบทำลายรังหรือส่งตัวอย่างมาให้นักวิชาการตรวจสอบเพื่อควบคุมการ แพร่ขยายพันธุ์ โดยสามารถส่งตัวอย่างมดที่สงสัยได้ที่พิพิธภัณฑ์มด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โทรศัพท์ 0-2579-0176 ต่อ 510.

Wednesday 15 July 2009

ผมสวยด้วยสมุนไพรในครัว

น่าสน ๆ

สมุนไพรใกล้ตัว ปลูกริมรั้วที่บ้าน นอกจากใช้รับประทาน ยังนำมาใช้ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญสมุนไพรพวกนี้ไม่เสี่ยงต่ออาการแพ้ เพราะธรรมชาติล้วน ๆ ไม่มีสารเคมีมาเจือปนให้รำคาญใจ


แต่ก่อนอื่นต้องวิเคราะห์ว่า เรามีปัญหาอะไร?

ผมร่วง เชิญทางนี้
ใครที่ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ สระทีผมหลุดออกมาเป็นกระจุก ปล่อยไว้เสี่ยงหัวล้านแน่ รีบหาน้ำมันมะกอกมาทาผมให้ทั่วแล้วนวดศีรษะทำสักพักค่อยล้างออกด้วยสบู่ หรือแชมพู ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ไม่เกิน 1 เดือนผมจะค่อย ๆ หยุดร่วง

รังแค กวนใจไม่หยุดหย่อน
เมืองไทยคงไม่มีวันมีหิมะตกแน่ ๆ เพราะฉะนั้นใครมีรังแค ไหนจะเสียบุคลิก ไหนจะคันแย่ แนะนำผลมะคำดีควายทุบพอแหลก ต้มในน้ำให้เดือด นำน้ำที่ได้สระผมสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะทำให้หนังศีรษะสะอาด ป้องกันการเกิดรังแค แถมแก้โรคชันตุได้อีกด้วย
ส่วนใครที่มีอาการคัน ให้นำว่านหางจระเข้ปลอกเปลือก เอาแต่ส่วนที่เป็นวุ้นมาบดประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ เวลาสระผมให้ขยี้วุ้นว่านหางจระเข้ทาให้ทั่วผมทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที ล้างออกให้สะอาด ช่วยบำรุงหนังศีรษะ ลดอาการคันได้ชะงัด

ยี้ มีเหามารังควาน
สูตรเดิมที่เคยรู้ใบน้อยหน่ายังใช้ได้อยู่ เด็ดมาสัก 8 ใบ โขลกให้ละเอียดผสมน้ำ ทาผมให้ทั่ว เอาผ้าคลุมทิ้งไว้สักครึ่งชม.ค่อยล้างออก สระผมตามอีกครั้ง แต่ระวัง! น้ำน้อยหน่าเข้าตา ขอเตือนว่าแสบมาก
ใครไม่มีใบน้อยหน่าแนะนำให้ใช้”ใบสะเดาแก่ ๆ” แทนได้ วิธีการเหมือนกันเป๊ะ

นอกจากนี้ ยังมีสมุนไพรอีกมากที่เป็นประโยชน์กับเส้นผมและหนังศีรษะ ต่อไปก่อนซื้อแชมพู อ่านส่วนผสมก่อนว่ามีที่เราต้องการหรือยัง ?

ผมมัน : เลือกสารสกัดจากธรรมชาติ พวก แตงกวา กระเพรา เบอร์กามอท และจูนิเปอร์ ช่วยลดความมันเยิ้มของหนังศีรษะ เส้นผมหลีบแบนได้
ผมแห้ง : เลือกสารสกัดจากดอกกล้วยไม้ กระเพรา โสม ขิง ช่วยให้ผมแห้งเสียกลับมามีน้ำหนัก สปริงตัวสวยอีกครั้ง
ผมแตกปลาย : เกิดจากใช้แชมพูที่มีกรดหรือด่างมากเกินไป เลือกสารสกัดจากตะไคร้ น้ำมันมะกอก ลูกมะกรูด ลดอาการแตกปลายได้
ผมธรรมดา : นับว่าเป็นคนโชคดีสุด ๆ แต่ต้องไม่ลืมบำรุงสม่ำเสมอ ไม่งั้นสภาพผมอาจแย่ได้ เลือกที่มีสารสกัดดอกฮอลลี่ฮ็อก กระเพรา อัญชัน มะกรูด ช่วยให้ผมดกดำ เงางามยิ่งขึ้น

เห็นไหมว่า สมุนไพรไทย ภูมิปัญญาไทย เจ๋งจริง.

ขอบคุณ ข้อมูลจากเว็บสมุนไพรดอทคอม

วาซาบิช่วยป้องกันฟันผุ



หลายคนคงจะเคยลองลิ้มชิมรสกับอาหารญี่ปุ่นกันบ้างแล้ว และหลายคนก็คงจะได้ลองสัมผัสกับความฉุนของเจ้า "วาซาบิ" ที่ถือว่าเป็นเครื่องปรุงอย่างหนึ่งของอาหารญี่ปุ่นกันแล้ว บางคนอาจจะหลงใหลในรสฉุนดังกล่าว บางคนอาจจะร้องยี้ แต่รู้หรือไม่คะว่า ใน วาซาบิที่คุณเขี่ยให้ห่างเวลาทานอาหารญี่ปุ่นนั้น มีประโยชน์มากมาย ที่นอกจากจะช่วยทำให้โล่งจมูกและอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งแล้ว ยังอาจจะช่วยป้องกันฟันผุได้ด้วย

นายฮิเดกิ มาซูดะ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของบริษัท โอกาวะ ผู้ผลิตเครื่องปรุงรส ของญี่ปุ่น กล่าวว่า สาร ประกอบทางเคมี ในวาซาบิ นอกจากทำให้วาซาบิ มีรสชาด และกลิ่นรุนแรงแล้ว ยังสามารถยับยั้งการเจริญเติบโต ของเชื้อจุลินทรีย์ ที่เป็น ต้นเหตุของฟันผุ โดยวาซาบิประกอบด้วย ไอโซทิโอไซยาเนตส์ ซึ่งนักวิจัยพบว่า สามารถยับยั้งการผลิตเอนไซม์ ที่มีส่วนสำคัญ ในการก่อตัวของหินปูน ก่อนหน้านี้ วาซาบิ เคยมีชื่อเสียงในเรื่องของการป้องกันเลือดจับตัวเป็นก้อน ลดความเสี่ยง ต่อการเป็นมะเร็ง และป้องกันโรคหอบหืด


ขอบคุณที่มาบทความจาก
www.healthcorners.com

รู้จักกีวี...สุดยอดพลังสารอาหาร


เพื่อสุขภาพที่ดี อีกช่องทางหนึ่งในการบริโภค จากเวบ พลังจิต

ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่โชคดี เพราะมีพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์เอื้อต่อการปลูกผลไม้หลายๆชนิด ทำให้คนไทยเรามีผลไม้กินไม่ขาดสายตลอดทั้งปี แล้วแต่ใครจะเลือกตามความชอบของตัวเอง ถ้าใครกินผลไม้้ได้ทุกประเภทก้คงไม่มีปัญหา เพราะมั่นใจได้ว่าจะได้รับวิตามินครบถ้วน แต่สำหรับใครที่ค่อนข้างจะเลือกรับประทาน อาจต้องคิดหนักหน่อยว่าจะเลือกซื้อผลไม้ชนิดใด อย่างไร เพื่อให้คุ้มค่ากับราคา และได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ

ข้อแนะนำง่ายๆ คือเลือกผลไม้ที่มีคุณค่าสารอาหารสูง และคำนึงถึงปริมาณวิตามินที่ร่างกายจะได้รับ ซึ่งหนึ่งในบรรดาผลไม้ที่ได้รับการยอมรับว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด ในปริมาณแคลอรีต่ำที่สุด คือ “กีวี”

แหล่งวิตามินซีในปริมาณสูงสุด
นอกจากกีวีสีเขียวที่เราคุ้นเคย ยังมีกีวีโกลด์ หรือกีวีสีทองให้เลือกบริโภค กีวีทั้งสองชนิดมีปริมาณวิตามินซีสูงสุดหากเทียบกับผลไม้ขึ้นชื่อเรื่อง วิตามินซี อาทิ ส้ม หรือมะละกอ จากการวิจัยพบว่ากีวี หนึ่งผลมีวิตามินซีมากกว่าส้มหนึ่งลูกถึง 74% การรับประทานกีวีสองผลต่อวันจะช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินซีในร่างกายอย่างเห็น ได้ชัด ช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันโรคซึ่งเป็นเกราะธรรมชาติที่ช่วยป้องกัน ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ และซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอและกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ

อุดมด้วยโฟเลต สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
โฟเลตมีบทบาทสำคัญในการสร้างสารพันธุกรรม จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กทารกและคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการเซลล์ใหม่เป็นจำนวนมาก การรับประทานโฟเลตเป็นประจำทั้งก่อนและระหว่างตั้งครรภ์ ยังช่วยทำให้ผิวและเซลล์เม็ดเลือดมีสุขภาพดี กีวีมีปริมาณโฟเลตสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับกล้วย มะม่วง สัปปะรด และแอปเปิ้ล โดยมากกว่ากล้วย 49% และมากกว่ามะม่วงถึง 112.8%

สุดยอดคุณค่าวิตามินอี
วิตามินอีได้รับการขนานนามว่าช่วยชะลอความแก่ชรา ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ คุณสมบัติที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของวิตามินอี นอกจากจะช่วยป้องกันเซลล์จากการเสื่อมสภาพแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยในการไหลเวียนของเลือดอีกด้วย จากการวิจัยพบว่ากีวีมีปริมาณวิตามินอีสูงสุด โดยเฉพาะกีวีทอง ซึ่งมีวิตามินอีมากกว่ามะม่วงถึงหนึ่งเท่า

เต็มที่ด้วยพลังไฟเบอร์
ไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารเป็นสารที่ไม่ให้พลังงานในร่างกาย แต่เข้าไปยึดพื้นที่ในระบบทางเดินอาหารทำให้อิ่มได้เร็วและนาน นอกจากนี้ ยังช่วยชำระล้างและปรับปรุงระบบย่อยอาหาร รวมถึงส่งเสริมให้หัวใจและร่างกายแข็งแรง กีวีเขียวหนึ่งผลมีปริมาณไฟเบอร์มากกว่ากล้วย 15% และมากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25%


ที่มา : เซสปรี อินเตอร์เนชั่นแนล (เอเชีย)
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ปฐมบทแห่งพระมหาโพธิสัตว์ ( พระพุทธเจ้า สมณโคดม )


อนุโมทนาสาธุ ครับ กับบทความที่เป็นตัวอย่างให้กับสัตว์โลกทั้งหลาย



เริ่มปรารถนาบารมียังอ่อนอยู่

เมื่อ เริ่ม ต้นอสงไขยที่ 21 จาก ปัจจุบัน มีอยู่กัปหนึ่งบังเกิดมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลก เมือโลกดับสลายไปแล้ว หลังจากนั้นเป็น สูญกัป คือไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ติดต่อกันเป็นประมาณ 2 แสนกัป พระอริยะต่างก็นิพพาน ไปเกือบหมดแล้ว ยังมีแต่บนพรหมโลกชั้นสุทาวาส อันเป็นพรหมโลกที่พระอนาคามี อาสัยอยู่เป็นภพสุดท้าย ก่อนที่จะเข้าสุ่พระนิพพาน เมื่อเวลาผ่านไปพระพรหมอนาคามี เริ่มเหลือน้อยลงเรื่อยๆ เพราะต่างก็นิพพานกันไปหมด และผู้ที่จะมาเกิดเป็นพรหมอนาคามี ก็หาได้มีอีกแล้ว เพราะพระอริยะเบื่องต่ำต่างก็บรรลุมาเกิดเป็นพรหมอนาคามีทั้งหมดแล้ว เห่ลาพระพรหมอนาคามีจึงประชุมร่วมกัน และดำริขึ้นว่า พระพรหมอนาคามีเหลือน้อยแล้ว เพราะไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น เป็นเวลาประมาณ 2 แสนกัปมาแล้ว และเมื่อเหล่าพระอนาคามี ใช้ อนาคตังคญาณ มองไปในอนาคตก็หาได้มี พระพุทธเจ้า บังเกิดขึ้นไม่ จึงดำริขึ้นมาว่า ถ้าเป็นอย่างนี้บ่อยๆ ก็ทำให้เหล่าสรรพสัตว์ต่างก็ฉิบหาย จากพระนิพพานมากเสียเหลือเกิน เพราะผู้ที่เป็นเอกบุรุษท เพียรสร้างบารมีจนสำเร็จเป็น พระพุทธเจ้า นั้นมีน้อย จำเป็นต้องหาผู้ที่มีน้ำใจเด็ดเดี่ยวตั้งความปรารถนา เพื่อรื้อสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ ดังนั้นเหล่าพระอนาคามีต่างก็ใช้ พระญาณ ตรวจส่อง ทั้งเทวโลก และมนุษย์โลก เพื่อหาผู้ที่มีน้ำใจเด็ดเดี่ยวอย่างนั้น

มานพน้อยผู้เด็ดเดี่ยว

ก็ ได้เห็นมานพน้อยคนหนึ่ง กำลังแบกแม่ของตนเองว่ายน้ำอยู่กลางทะเลใหญ่ พยายามว่ายน้ำอยู่อย่างไม่ท้อแท้และท้อถอย ตั้งจิตเพื่อให้ถึงฝังให้จงได้ เมื่อใช้ญานย้อนดูไปในอดีตก่อนหน้านี้ ก็เห็นว่ามานพคนนี้ เป็นคนกตัญญูต่อมารดา เป็นคนดีมีศีลมีธรรม ไม่เอาเปรียบหรือเบียดเบียนผู้อื่น จึงเผ้าดูน้ำใจก็มานพน้อยผู้นี้ ว่ายน้ำต่อไปจะมีใจท้อแท้หรือไม่ แต่เปล่าเลยถึงว่ายน้ำมาถึง วันที่ 7 แล้วก็ตาม และกำลังอ่อนล้าเต็มที่แต่ยังมีจิตใจมุ่งมั่นให้ถึงฝั่งจนได้ พระพรหมอนาคามี จึงดลจิตให้มีกำลังอึกเหิมขึ้น ให้มานพตั้งจิตว่า " เราจะว่ายน้ำให้ถึงฝั่งให้สำเร็จ พร้อมกับนำพาแม่ให้ถึงฝั่งด้วย และ เมื่อเราพ้นทุกข์เราต้องนำผู้อื่นให้พ้นทุกข์ด้วยให้จงได้" มานพ น้อยก็เกิดกำลังใจขึ้นมา ว่ายน้ำต่อจนถึงฝั่งพร้อมกับหมดสติพอดี หลังจากนั้นก็มีคนมาพบ และช่วยให้พื้นคืนสติทั้งแม่และลูก ก็ได้ดำรงณ์ชีวิตโดยไม่ลำบากนัก ตามกรรมจน สิ้นอายุขัย หลังจากนั้นก็เวียนเกิดตายอีกนานแสนนาน

สัตตุตาประราชา

หลัง จากเกิดตายมานานแสนนาน ก็ได้เกิดเป็นราชโอรส และได้ขึ้นครองราชสมบัติ มีพระนามว่า พรสัตตุตาประราชา พระองค์ปกครองประชาราช ด้วยทศพิธราชธรรม แต่พระองค์ทรงพอพระทัยในช้างมงคลอย่างมาก คือชอบสะสมช้างมงคล ไม่ว่าจะได้ข่าวว่าช้างมงคลอยู่ส่วนใหนของราชธานี พระองค์ต้องตามจับมาจนได้ กาลครั้งหนึ่งได้มีนายพราน เข้ามาถวายรายงานว่า ได้พบช้างมงคล เชือกหนึ่งซึ่งมีลักษณ์สมบูรณ์พร้อมทุกประการ ตั้งแต่เกิดมาเป็นพรานยังไม่เคยเห็นช้างเชือกใหน มีลักษณะเลิศอย่างนี้มาก่อนเลย เมื่อพระองค์ทรงทราบอย่างนั้นจึงทรงให้นายพรานผู้นั้น นำขบวนเพื่อไปจับช้าง เมื่อทรงเห็นช้าง เชือกนั้น พระองค์ทรงดีพระทัยเป็นอย่างมาก และสามารถล้อมจับจนได้โดยไม่ยาก ได้ทรงให้นายหัตถาจารย์ผู้ฝึกช้าง ฝึกจนเชื่อง แต่พระสัตตุตาประราชา ทรงรีบพระทัย เพื่อจะทรงช้างเชือกนี้ ในวันมงคลฉลองนักขัตฤกษ์ ใน 7-8 วันข้างหน้า นายหัตถาจารย์ผู้มีความรู้ จึงต้องให้อาหารผสมกับโอสถ เพื่อให้ฝึกสอนได้ง่ายโดยเร็วพลัน เมื่อถึงวันทรงช้างเชือกนี้ในวันฉลองนักขัตฤกษ์ พระองค์ก็ทรงช้างเลียบเมือง ที่เป็นเขตป่า แต่ในเมื่อราตรีที่ผ่านมาที่ราวป่าแห่งนั้น มีโขลงช้างได้ถ่ายมูลลงไว้ ณ. ที่นั้น ดังนั้นเมื่อช้างมงคลที่พระสัตตุตาประราชา ทรงประทับอยู่ เกิดได้กลิ่นมูลของช้างตัวเมืย เกิดตกมันออกวิ่งตามโขลงช้างนั้นทันที่ ไม่สนใจ มนุษย์ที่นั่งอยู่บนหลัง สะบัดจนตกหมด เหลือแต่พระสัตตุตาพระองค์เดียว พระองค์ทรงตกพระทัย แต่ยังคงครองสติไว้ เมื่อช้างวิ่งผ่านต้นไม้ใหญ่ ที่มีกิ่งยื่นออกมา พระองค์ทรงจับกิ่งไม้นั้นปล่อยให้ช้างวิ่งไปตามอิสระของมัน เมื่อเหล่าทหารตามมาทันก็เชิญพระองค์ ลงมา พระองค์ทรงโกรธพระทัยเป็นอย่างมาก เมื่อกลับมาถึงราชฐาน ทรงให้เรียกนายหัตถาจารย์ เข้ามาเฝ้า แล้วทรงชี้หน้าด่าว่าอย่างโกรธเคืองว่า " เจ้าฝึกช้างอย่างไร เกื่อบจะฆ่าข้าเสียแล้ว สมควรที่จะถูกประหาร ? " นายหัตถาจารย์ผู้มีปัญญาจึงกล่าวว่า " ขอให้พระองค์ทรงฟังเหตุผลก่อน ข้าพระองค์ไม่เคยคิดปลงพระชนน์พระองค์เลย ขอพระเมตตา"
พระสัตตุตาประราชา พระทัยอ่อนลงมาอีกนิดจึงตรัสว่า "ดังนั้นให้เจ้าเล่าเหตุผลมา"

นาย หัตถาจารย์ทูลว่า "การที่ช้างมงคล ออกวิ่งไปนั้นเพราะตกมัน ได้กลิ่นช้างพังตัวเมืย ที่ถ่ายมูลไว้ที่ราวป่าเพราะความอยากจะ เสพสังวาส กับช้างตัวเมีย จึงไม่สนใจแม้ความเจ็บ และความตายอะไรทั้งสิ้น ถึงแม้จะถูกตะขอสับและถูกฝึกอย่างดีมาแล้วก็ตามแต่"
พระสัตตุตาประราชาตรัสว่า "เอาละข้าฟังเหตุผลนี้ของเจ้า แต่การที่ช้างมงคลหลุดหนีออกไปโทษของเจ้าก็สมควรถูกประหาร"
นาย หัตถาจารย์ทูลว่า "ช้างที่ข้าพระองค์ฝึก จะไม่หนีไปใหน และจะกลับมาหาข้าพองค์อีก เพราะมนตราและโอสถที่ข้าพระองค์ให้ไว้ ในวันพรุ่งนี้ เช้า เมื่อช้างมงคลเชือกนั้นได้รวมสังวาสกับช้างพังตัวเมียแล้ว จะกลับมา"
พระสัตตุตาประราชาจึงตรัสว่า "ถ้าเป็นจริงตามที่เจ้ากล่าว ข้าจะยกโทษประหาร แต่ถ้าไม่เป็นจริงเจ้าต้องถูกประหารแน่นอน"
ใน วันถัดมาช้างมงคลตัวนั้นก็กลับ มาจริง จึงมาไว้ที่ลานช้าง พระสัตตุตาและข้าราชบริภารและชาวเมื่อออกมาเยียมดู พระสัตตุตาประราชาจึงถามนายหัตถาจารย์ด้วยความสนพระทัยว่า "มนตราและโอสถของเจ้า มีความขลังอย่างนี้เชียวหรือ? "
นายหัตถาจารย์ทูลว่า "อย่าว่ากลับมาเลย แม้ข้าพระองค์ให้ช้างมงคลตัวนี้เอางวงจับเหล็กร้อนแดง มันก็ย่อมทำตาม หม่อมฉันจะทำให้ดู"
พระสัตตุตาประราชาจึงตรัสว่า " เอาก็ลองพิสูจ์ดู"
เมื่อ ถึงวันทดลอง เมื่อช้างมงคลตัวนั้นได้รับคำสั่งจากนายหัตถาจารย์ ก็ใช้งวง ไปจับเหล็กร้อนแดงนั้นจริงๆ จนควันขึ้น พระสัตตุตาประราชา เพราะความรักช้างและตกพระทัยจึงรีบร้องสั่ง ให้นายหัตถาจารย์สั่งให้ช้างมงคลปล่อยเหล็กแดงทันที่ แล้วทรงดำริในพระทัยว่า

" ช่างมงคลย่อมทำตามจับ เหล็กร้อนแดงได้ โดยยอมทนต่อความเจ็บปวดจวนตายเพราะมนตราและโอสถ แต่มนตราและโอสถ และถูกเอาตะขอสับจนเจ็บปวด ไม่สามารถหยุดช้างมงคลได้เพราะอำนาจของราคะ โอ้ กามราคะมีอำนาจมากเหลือเกิน เมื่อไหร่เราหลุดพ้นหรือชนะกามราคะแล้ว เราจะนำพาให้สรรพสัตว์หลุดพ้นด้วยให้จงได้"

พระองค์ทรงตั้งพระทัยอย่างแนวแน่และมั่นคง หลังจากนั้นไม่นาน พระองค์ก็ทรงออกบวช เป็นดาบส จนสิ้นพระชนน์ เวียนเกิดตายไปอีกนานแสนนาน

พระสัตตุตาปะราชา กลับชาติมาเกิดเป็น องค์สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า

พญาช้างมงคล กลับชาติมาเกิดเป็น พระมหากัสสปเถร เป็นมหาสาวก

นายหัตถาจารย์ กลับชาติมาเกิดเป็นพระอชิตะโพธิสัตว์ ที่จะตรัสเป็นพระศรีอริยเมตไตรพุทธเจ้าในสมัยต่อจากนี้


เสวยชาติเป็นพระพรหมดาบส

กาล ต่อมาพระโพธิสัตว์จุติจาก เทวโลก ก็มาบังเกิดในตระกุลพราหมณ์มหาศาล มีนามว่า พรหมกุมาร พรหมกุมารได้ศึกษาไตรเวทย์ และได้เป็นอาจารย์บอกเวทย์แก่มานพห้าร้อยคนที่เป็นศิษย์ เมื่อมารดาบิดาของพรหมกุมารได้ล่วงลับไปแล้ว พรหมกุมารจึงดำริออกบวชเป็นดาบส จึงได้จัดการแบ่งทรัพย์สินตั้งสิ้น ให้แก่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหมด แล้วกล่าวว่า อาจาย์จะออกบวชเป็นดาบส ฝ่ายลูกศิษย์ก็ทักท้วงแต่ไม่สำเร็จ ดังนั้นเมื่อลูกศิษย์บางส่วนเห็นอาจารย์ออกบวช จึงออกบวชตามพรหมดาบส อยู่ในป่าบนเชิงภูเขา บำเพ็ญพรตอยู่เรือยมา และลูกศีษย์ที่เหลือเมื่อบิดามารดาสิ้นแล้ว ก็ออกบวชตามพรหมดาบส

วัน หนึ่ง พรหมดาบส ออกปากชวนลูกศิษย์ ออกไปหาผลไม้ ไปถึงเชิ่งเขาหนึ่ง เมื่อมองลงไปเบื้องล่าง เห็นลูกเสือ เพิ่งคลอดใหม่ประมาณ สองสามวัน และแลเห็นแม่สือตัวหนึ่งที่กำลังหิวโซระโหยโรยแรง เพราะอดอาหารมาหลายวัน จ่องจะกินลูกเสือ จึงกล่าวกับลูกศิษย์ว่า ดูสิ แม่เสือกำลังจะกินลูกเสือเพราะความหิว พวกเธอจงไปหาซากสัตว์ที่ตายใหม่แถวนี้ โยนลงไปให้แม่สือได้กิน จะได้ยับยั่งไม่ให้แม่เสือกินลูกเสือ ลูกศิษย์ก็ออกหาซากสัตว์ ได้สักพัก พรหมดาบสเฝ้ามองดูกริยาของแม่เสืออยู่ เห็นแม่สือต้องตะครุบกินลูกเสือแน่ จึงตั้งใจสละชีวิตร่างกายเป็นทาน อย่างเด็ดเดี่ยว แล้วตั้งปณิธานว่า "เราขอสละชีวิตเป็นทานเป็นอาหารของแม่เสือ เราปราถาเพื่อปลดทุกข์ของสัตว์ทั้งหลายที่กำลังเป็นทุกข์ ให้พ้นจากทุกข์" แล้ว ประกาศออกว่า "ขอทวยเทพทั้งหลายทรงรับรู้ เราจะถวายร่างกายและชีวิตนี้เป็นทานให้แก่แม่สือเพื่อรักษาชีวิตลูกเสือ เราปราถนาจะรื้อสัตว์ทั้งหลายออกจากความทุกข์ ขอให้ทวยเทพเทวดาจงมากระทำอนุโทนาสาธุการด้วยเทอญ" แล้วพรหมดาบสจึงกระโดดลงไปเบื้องล่าง ร่างกายตกบงเบื้องหน้าแม่สือทันที่ แล้วไปจุติบนเทวโลก หลังจากนั้นก็เวียนเกิดเวียนตาย อีกนานแสนนาน


มานพหนุ่มช่างทอง

กาล ต่อมาพระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็น บุตรของช่างทอง และเป็นมานพหนุ่มช่างทองมีรูปสิริเลิศงดงาม ในเมื่องแห่งนั้น มีฝีมือในการทำทองนั้นยอดเยียม ชื่อเสียงในการทำทองขจรไปไกล เพราะความมีฝีมือนี้เอง ได้มีเศรษฐีของเมื่องมาทำการว่าจ้างให้ทำทองรูปพรรณ ให้บุตรสาวที่จะเข้างานวิวาห์มงคล เมื่อเห็นรูปร่างของหนุ่มช่างทองก็เกิดรังเล แต่ไม่สามารถหาช่างทองที่ฝีมือดีกว่านี้ได้อีกเลย จึงกล่าวกับหนุ่มช่างทองว่า ถ้าท่านเห็นมือ และเท้าของบุตรสาวของเราอย่างเดียวท่านสามารถทำทอง ได้สวยสดงดงามหรือไม่? หนุ่มช่างทองก็บอกว่าทำได้ เหตุผลของท่านเศรษฐีทำแบบนี้ เพราะบุตรสาวเป็นหญิงที่สวดสดงดงาม เมื่อเห็นหน้าตากันจะทำให้ทั้งสองเกิดหวั่นไหว มีปัญหาในการแต่งงานของลูกสาวกับบุตรชายของเพื่อนเศรษฐี ที่หมั่นหมายไว้แล้วเป็นการตัดไฟเสียต้นลม

เมื่อ ถึงวันที่หนุ่มช่างทอง ทำการตรวจวัดมือและเท้าของบุตรสาวเศรษฐี ที่บ้านของเศรษฐี ท่านเศรษฐีได้ทำฉากกั่น ให้บุตรสาวยื้นเฉพาะมือและเท้าออกมาเท่านั้น แต่บุตรสาวเกิดความสงสัยว่าทำไม่บิดาจึงทำอย่างนี้ ในขณะที่หนุ่มช่างทองกำลังตรวจวัดอยู่ บุตรสาวเศรษฐี ก็แอบดูตามช่องที่มองเห็นได้ เมื่อเห็นรูปร่างหนุ่มช่างทองเกิดหลงรักทันที จึงทำการเขียนอักษร นัดแนะหนุ่มช่างทองทันที่ ว่าในค่ำคืนนี้นัดเจอกันที่ส่วนหลังบ้านที่เป็นต้นไม้ใหญ่ ฝ่ายหนุ่มช่างทองเมื่อเสร็จภารกิจ ก็กลับไปยังเรือนของตน ทำงานทำทองตลอด
เมื่อ ตกค่ำก็อาบน้ำแต่งตัวออกไป ตามนัด ที่ กาญจนวดีกุมารีบุตรสาวเศรษฐีได้เขียนอกษรไว้ แต่มานพหนุ่มช่างทองมาถึงต้นไม้ใหญ่ก่อน นั่งรออยู่ เพราะทำงานมาทั้งวัน เมื่อเจอบรรยากาศร่มรื่นจึงเผลอหลับไป เมื่อนางกาญจนวดีกุมารีมาถึงก็เห็นหนุ่มช่างทองหลับไปแล้ว ซึ่งในสมัยนั้นมีการถือกันว่า ถ้าผู้ใดนอนหลับอยู่ห้ามปลุกขึ้นมาเพราะจะเป็นบาป นางจึงนั่งรอเป็นเวลาพักใหญ่ เห็นว่าไม่ตื่น จึงว่าขันใส่ดอกไม้ไว้ แล้วเขียนอักษรไว้ว่า นางได้มาแล้วแต่ท่านหลับอยู่ จึงว่างขันดอกไม้ไว้ให้ทราบ และในราตรีต่อไปขอนัดเจอที่เดิม แล้วจากไป เมื่อหนุ่มช่างทองตืนขึ้นมาเห็นขันดอกไม้ จึงรู้ว่านางได้มาแล้วและได้อ่านข้อความที่นางเขียนไว้

ตก ค่ำวันต่อมาหนุ่มช่างทองก็ออกไป ตามนัดเหมือนเดิม ก็ไปถึงต้นไม้ใหญ่ก่อนอีก ด้วยความอ่อนแรงจากการงานจึงเผลอหลับไปอีก นางกาญจนวดีกุมารีเมื่อมาถึงก็เห็นหลับเหมือนเดิม จึงเขียนอักษรนัดแนะเหมือนเดิม หนุ่มช่างทองเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบอักษรที่นัดแนะ ก็ให้นึกโกรธตนเองที่เผลอหลับมาสองวันแล้ว

พอ ตกค่ำวันที่ 3 ครั้งนี้หนุ่มช่างทองพยายามเตือนตนเองอย่างเต็มที่ไม่ให้เผลอหลับ แต่ต้านไว้ไม่อยู่เลยเผลอหลับไปอีก เมื่อกาญจนวดีกุมารี มาเห็น ก็คิดว่า บุญไม่ต้องกันที่จะได้อยู่ร่วมกัน เพราะตนจะเข้างานวิวาห็ นางจึงวางขันดอกไม้ไว้อย่างเดียว ให้รู้ว่านางได้มาตามนัดแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่ได้เขียนอักษนัดแนะประการใด เมื่อหนุ่มช่างทองตื่นขึ้นมา ก็โกรธตนเองที่เผลอหลับ จึงกลับบ้านด้วยความผิดหวังที่จะดูหน้าและรูปร่างเพียงสักครั้ง

แล้ว นางกาญจนวดีกุมารี ก็เข้าวิวาห์กับบุตรชายเศษรฐี ตามกำหนดการ ฝ่ายหนุ่มช่างทองก็คล่ำครวญถึงนางกาญจนวดี ว่าสมควรจะอยู่ร่วมภิรมณ์กับตนและควรเป็นของเรา เพราะหญิงก็มีใจกับตน จึงคิดหาอุบาย ได้ทำเครืองทองที่ดีเลิศขึ้นมาชุดหนึ่ง แล้วนำไปถวาย มหาอุปราช มหาอุปราชทรงพอพระทัย จึงทรงถามหนุ่มช่างทองว่า มีประสงค์อันใดที่นำเครื่องทองอันดีเลิศมาถวาย หมุ่นช่างทองจึงบอกจุดประสงค์ มหาอุปราชจึงรับปากและจะออกอุบายช่วยเหลือ หลังจากนั้นก็ให้หนุ่มช่างทองแต่ตัวเป็นสตรี ปลอมเป็นน้องหญิงของมหาอุปราช แล้วทรงกระบวนช้างผ่านไปยังบ้านเศรษฐีแล้วตรัสบอกกับท่านเศษรฐีว่า จะเอาน้องหญิ่งมาฝาก ที่บ้านเศรษฐี เพราะออกไปปราบข้าศึกที่ชายแดน และห็นว่าท่านได้สร้างเรื่อนใหม่ ที่พอจะฝากน้องหญิงได้

แล้วมหาอุปราชถามอีกว่า "เรือนนั้นเป็นเรื่อนของใครของใครหรือ? "
เศรษฐีจึงตอบว่า "เป็นเรือนของบุตรสาวที่พึ่งแต่งงาน"
มหา อุปราชกล่าว "อย่างนั้นก็ดีสิ ! จะได้ให้น้องหญิงพักอยู่ที่นั้น และจะได้ให้บุตรสาวของท่านอยู่เป็นเพื่อนของน้องหญิง ให้นางงดการอยู่ร่วมกับสมามีชั่วคราว ห้ามผู้ชายแม้กระทั้งสามีของบุตรสาวท่านเข้าไปในส่วนของชั้นเรือนที่น้อง หญิงพักอยู่ โดยมีบุตรสาวของท่านอยู่เป็นเพือน แล้วเราจะกลับมารับหนึ่งหญิงในภายหลัง"
เศรษฐีด้วยความเกรงในอำนาจของอุปราช และเห็นว่าท่านอุปราชทรงห่วงใยน้องหญิงคนนี้มาก จึงรับทำตามที่มหาอุปราชกับชับด้วยความเต็มใจ

หลังจากนั้นหนุ่มช่างทองได้อยูร่วมกับนางกาญจนวดี เป็นเวลา 3 เดือนโดยไม่มีใครรู้เรื่องเลย จนมหาอุปราชมารับกลับไป
ด้วย ผลกรรมที่พระโพธิสัตว์ ผิดลูกผิดเมียของผู้อื่นเมื่อสิ้นอายุขัยของตกนรกทันที่ เวียนเกิดตายระหว่างอบายภูมิ(ภพต่ำ)เป็นเวลานาน แล้วเกิดเป็นกระเทยและเป็นผู้หญิง เป็นพันชาติ รวมเวลา ถึง 14 มหากัป
เมื่อ ทำกรรมหนักเพียงชีวิตเดียว ก็ตกลงในภพภูมิที่ต่ำจะทำให้สร้างบุญกุศลนั้นยาก เพราะใจจะตกต่ำไปด้วย ย่อมกระทำกรรมเล็กๆ น้อยๆ ไปเรี่อยกว่าจะหลุดพ้นมาได้ก็ใช้เวลาหลายมหากัป นับประสาอะไรกับผู้ที่ไม่ปรารถนาสร้างบารมี(อย่างใดอย่างหนึ่งในพุทธศาสนา) จะวนเวียนอยู่โดยไม่รู้ทิศรู้ทางเป็นเวลานานนับแสนแสนอสงไขย จนประมาณไม่ได้

เจ้าหญิงสุมิตตาเทวี

จาก กรรมที่พระโพธิสัตว์ทำผิดศีล กาเมมิจฉา แล้วตกนรก เป็นเวลานานแสนนาน หลังจากนั้น ถือกำเนิดเป็น ฬา เป็นโค เป็นคนพิการ เป็นตาบอด เป็นคนหูหนวก เป็นกระเทย และเป็นสตรี อย่างละ 500 ชาติ เป็นการชี้ให้เห็นว่า เป็นมนุษย์ผิดศีลอย่างเด็ดขาด ด้วยอำนาจแห่ง โทสะ และราคะ อย่างรุนแรง และติดต่อกันเป็นเวลานาน เป็นเดือน หลังจากนั้นไม่ได้สร้างบุญกุศลกรรม ที่ประกอบด้วยศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อ ผู้บริสุทธิ์ด้วยศีลพรต หรือต่อธรรมที่กำหนดให้รักษาศลี 5 อย่างศรัทธา ในภายหลัง บาปที่ทำไปแล้วนั้นมีกำลังรุนแรง ให้เป็นชนกกรรม คือจะส่งผลทันที่เมื่อได้ตายไปจากภพปัจจุบัน สัตว์ใดที่ทำบาปอย่างรุนแรง เมื่อตกลงเบื้องต่ำอบายภูมิ จะหลุดออกจากอบายภูมิโดยเร็วพลันนั้นอยากยิ่ง

มา กล่าวถึงพระโพธิสัตว์เสวยเศษ กรรมชาติสุดท้าย ด้วยมีบุญเก่าหนุนนำ จึงเกิดเป็นสตรีในวงค์กษัตริย์ ทรงพระนามว่าเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี เป็นธิดาของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราช และในกัปนั้นเป็นสารกัป เพราะ มีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติ เพียงพระองค์เดียว ทรงพระนามว่า พระปุราณทีปังกรพุทธเจ้า พระองค์ เป็นราชบุตรของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราช แต่ต่างมารกับเจ้าหญีงสุมิตตาเทวี และพระพุทธเจ้ามีฐานะเป็นพี่ชายของพระนาง เมื่อพระปุราณทีปังกรพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น พระทรงทำให้พระธรรมปรากฏขึ้น ทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายต่างได้รับรสพระธรรมนั้น จำนาณมากมายเหลือคณานับ บังเกิด พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นรัตณตรัย กระจรไปทั่วสากลจักรวาล
กล่าว ถึงพระนางสุมีตตาเทวี ด้วยความศรัทธาเชื่อมั่นในพระเชษรฐาเป็นทุนเดิม เมื่อพระเชษรฐา ตรัสรู้เป็นพระบุราณทีปังกรพุทธเจ้า ความศรัทธาย่อมมีมาขึ้นเป็นทวีคุณ

วัน หนึ่งเวลาใกล้คำพระนางยืนอยู่ บนปราสาทมองลงมาเบื้องล่าง ก็เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งมาบิณฑบาต อยู่ที่หน้าราชวังของพระนาง จึงคิดในพระทัยว่า " พระคุณเจ้ามาบิณฑบาตอะไรหนอ ถึงได้มาใก้ลค่ำ" จึงทรงสั่งให้บุรุษรับใช้ไปถามพระภิกษุ พระภิกษุรูปนั้นบอกว่า จะมาบิณฑบาตน้ำมัน เมื่อพระนางทรงทราบ จึงได้อาราธนาพระผู้เป็นเจ้าขึ้นมา ณ อาสนะ อันสมควร แล้วพระนางทรงดำรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้า มีความประสงค์น้ำมันไปเพื่อทำอะไร?" พระผู้เป็นเจ้าตอบว่า
" อาตมา บิณฑบาตน้ำมันเป็นอันมากเพื่อ จุดประทีปมากมาย ทำการสักการะบุชาแด่พระปุราณทีปังกรพุทธเจ้า จนสิ้นราตียันรุ่งสาง พร้อมทั้งมีเหล่าพระอริยะสงฆ์มาประชุมพร้อมกัน อาตมารับทำภารกิจนี้เสมอมา" พระนางสุมิตตาเทวีได้รับทราบดังนั้นมีศรัทธาเป็นอันมาก ก็ดำริในพระทัยว่า "พระเชษฐาของ เราได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ทรงทำประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อมวลสรรพสัตว์ทั้งหลาย ในกาลเบื้องหน้าขอให้เราได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า เพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์โลกเหมือนพระองค์"

หลังจากนั้นพระนางทรงเอาน้ำมันถวายพระคุณเจ้า จนเต็มบาตร พร้อมทั้งกล่าววาจาปณิธานว่า

" ด้วย อนิสงสผลทานนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ความปรารถนาของข้าพเจ้าจงสำเร็จผลตามที่ปรารถนา และขอให้พระคุณเจ้าจงมีจิตช่วย กราบทูล พระองค์ด้วยว่า พระน้องนาง ของพระพุทธองค์ ซึ่งมีนามว่า สุมิตตากุมารี มีความศรัทธาเป็นยิ่งนักขอกราบแทบพระบาท พระพุทธองค์ และขอตั้งความปารถนาว่า ด้วยผลบุญนี้จง เป็นปัจจัยในอนาคต ให้ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง และขอให้มีพระนามว่า สิทธัตถะเหมือนด้วยชื่อนำมันพันธุ์ผักกาดนี้ด้วยเถิด"

หลังจากนั้นพระนางก็ส่งพระคุณเจ้ากลับไป ฝ่ายพระ คุณเจ้า ครั้งนี้ได้น้ำมันมากกว่าทุกวันที่แล้วมา จึงจุดประทีปได้สว่างไสว มากกว่าทุกวัน ครั้นแล้วก็เข้าไปกราบทูลสมเด็จสัมมาพระพุทธเจ้าว่า
" ข้าแต่พระผู้มีพระภาค คืนนี้ข้าพระองค์ได้จุดประทีปบูชาได้มากกว่าคืนก่อนๆ ด้วยน้ำมันพันธุ์ผักกาดอันพระน้องนางสุมิตตาเทวีของพระองค์ถวายมา และพระนางกล่าววาจาอธิษฐานว่า พระนางมีความศรัทธาเป็นยิ่งนักขอกราบแทบพระบาท พระพุทธองค์ และขอตั้งความปารถนา ด้วยผลบุญนี้จง เป็นปัจจัยในอนาคต ให้ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง และขอให้มีพระนามว่า สิทธัตถะเหมือนด้วยชื่อนำมันพันธุ์ผักกาดนี้ด้วยเถิด ข้าพระองค์จึงขอโอกาสกราบทูลถามต่อพระองค์ว่า ความปารถนาของพระน้องนางจะสำเร็จหรือไม่ พระเจ้าข้า ?"
พระพุทธองค์เมื่อได้สดับฟัง จึงตรัสว่า " พระน้องนาง ยังเป็นสตรีเพศอยู่ จึงยังไม่สมควรรับลัทธยาเทศพยากรณ์"

พระคุณเจ้าจึงทูลถามต่อ "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็พระน้องนางของพระองค์จักไม่มีโอกาสได้สำเร็จพระพุทธภูมิเลยหรือ พระเจ้าข้า"
พระ พุทธองค์จึงทรงพิจารณาดูในอดีด ภาคของพระน้องนาง ก็ทรงทราบว่า พระน้องนางสุมิตตาเทวี ได้เคยปรารถนาพุทธภูมิไว้นานนักหนา เมือต้นอสงไขย ตั้งแต่เป็นมานพแบกมารดาว่ายข้ามมหาสมุทร และมีทรงพิจารณาดูไปในอนาคต ก็ทรงทราบ ว่าพระน้องนาง อาจสำเร็จซึงพุทธภูมิตามความปรารถนา พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า

" กาล ข้างหน้า นับจากนี้ไป 16 อสงไขยเศาแสนกัป จักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าทีปังกร ซึ่งมีนามเสมอกับเรานี้ อุบัติขึ้นในโลก แล้วพระน้องนางจะได้รับลัทธยาเทศพยากรณ์ในสำนักของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าพระองค์นั้น"

เมื่อ พระคุณเจ้าได้รับฟังคำตรัส ของพระพุทธองค์ ก็กราบทูลลา หลังจากนั้นก็ได้ไปยังปราสาท ของพระนางสุมิตตาเทวี แล้วบอกข้อความ แก่พระนางตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสทุกประการ นำความปีติแก่พระนางเป็นอย่างยิ่ง จึงกล่าวปวารณา ให้พระคุณเจ้า จงมารับน้ำมันในสำนักของพระนางทุกวัน

ใน วันถัดมาพระนางสุมิตตาราชกุมารี ก็จัดแจงอาหารอย่างประณีตเป็นอันมาพร้อมทั้งเครื่องสักการะบูชาถวายบิณฑบาต แก่หมู่ พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง และพระนางทรงเบื่อหน่ายเพศสตรีเป็นกำลัง ครั้นสิ้นอายุขัย ก็ได้เสวยทิพยสมบัติในดุสิตเทวโลก

หลังจากนั้นก้อผ่านไปนานถึงประมาณ 16 อสงไขย อีก แสน กัป หลังจากบำเพ็ญบารมี มา ยาวนาน พระโพธิสัตว์เราก้อได้เกิดมาเป็น

สุเมธดาบส และ ก้อได้รับการพยากรณ์ให้เป็นครั้งแรกว่าจะตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าในภัทรกัป มีนามว่า โคตมะ ก้อคือพระพุทธเจ้าของเราตอนนี้นั้นเองครับ

Tuesday 14 July 2009

ระวังไข่ไก่ของจีน มีของปลอมแล้ว

เก่งเกินไป เก่งในทางไม่ดี

ไข่อะไร? ไข่ไก่ครับ ตอนนี้เค้าปลอมไข่ไก่กันแล้ว!




ทาง การจีนสามารถระงับการขายไข่ไก่ปลอมได้ที่มณทลกวางโจว วางขายกันอย่างแพร่หลายตามตลาดเลย ราคาขายส่งตกฟองละ 0.15 หยวนหรือ ประมาณ 75 สตางค์ครับ ซึ่งเป็นครึ่งนึงของราคาไข่จริงที่นั่น ตามที่ระบุคือ คนขายยังดู๊ไม่ออกเลยอ่ะว่าเป็นไข่ปลอมเพราะเหมือนมากๆ



ไข่ ขาวเค้าใช้ เจลาตินที่ทำ jelly , แป้ง , Benzoic acid ,แล้วก็ alum หรือ aluminium potassium sulfate ครับ ซึ่งใช้ในโรงงานโดยที่บางแห่งใช้ alum ในการกัดสีของโลหะหรือกัดสนิมในโรงงานอุตสาหกรรมครับ



ไข่แดงจะใช้สีผสมกับส่วนประกอบที่ยังไม่สามารถระบุได้ แล้วเทใส่แม่พิมพ์กลมๆ ครับ




เปลือกไข่ทำมาจาก paraffin wax ผสมกับน้ำขาวๆที่ยังไม่สามารถระบุได้ครับ ราดบนไข่ปลอม รอจนแห้งมันจะแข็งเหมือนเปลือกไข่


นี่ คือ ไข่แดงปลอม ซึ่งลอยอยู่ในน้ำที่เค้าเรียกกันว่า น้ำวิเศษประกอบไปด้วย แคลเซียมคลอไลด์ ซึ่งจะทำให้ไข่แดงกลมอยู่ตัวแบบนี้ไปตลอด จากนั้นเอาเข้าแม่พิมพ์กลมๆ ราดไข่ขาวปลอมตามลงไปรอให้แห้ง



พอแห้งแล้วก็ราด paraffin wax ที่ทำเป็นเปลือกไข่ครับ



อาจจะมีการแต่งสีให้เหมือนไข่จริง ก็สามารถออกขายได้แล้วครับ



ไข่ ปลอมนี่สามารถเอามาปรุงอาหารได้ รสชาติเหมือนไข่จริงๆด้วย แต่มันไม่มีสารอาหารครับ แล้วก็ถ้ากิน alum มากๆจะทำให้เป็นโรคจิตเสื่อมครับ


Monday 13 July 2009

เก็กฮวยบำบัดโรค



เก็กฮวย.....เก็กฮวย ที่ขึ้นชื่อ ถึงความอร่อย ราคาไม่แพง และยังเป็นที่นิยมนำมาประกอบอาหาร อีกทั้งยังมีสรรพคุณในการบำบัดโรคได้อีกด้วย

ถ้าจะกล่าวว่า พืชสมุนไพรเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทยก็คงไม่แปลก เพราะทั้งอาหารที่บริโภคก็มีส่วนประกอบของพืชสมุนไพร ซึ่งทั้งอร่อยและบำบัดโรค รวมถึงน้ำดื่มดับกระหายคลายร้อนที่เคยดื่มเคยจิบกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย นั่นก็คือ เก็กฮวย ที่ใช้ดื่มเพื่อดับกระหาย โดยไม่รู้ว่านอกจากรสชาติที่อร่อยชื่นใจแล้ว ยังกำนัลด้วยประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ด้วยวันและเวลาผ่านไป ใครหลายคนคงลืมน้ำสมุนไพรเหล่านี้ไปแล้วลองย้อนวันเวลากลับไปทบทวนความ รู้สึกเมื่อครั้งวัยเยาว์ที่ได้ดื่มน้ำสมุนไพร ว่าทำให้เรามีแรงกระโดดโลดเต้นได้มากมายเพียงใด นอกจากนี้แล้วยังมีวิธีการทำที่ไม่ยากเลย ขั้นตอนง่ายๆ ดังนิ้

วิธีทำ นำดอกเก็กฮวย มาล้างน้ำ แล้วใส่ในหม้อต้มเคี่ยว 5 นาที เติมน้ำตาลทราย ชิมรสตามใจชอบ จะได้เก็กฮวย สีเหลีองอ่อนรสหวานเย็น ถ้าต้องการให้น้ำสีเหลืองอ่อนน่าดื่มยิ่งขึ้น ให้ใส่เมล็ดพุดจีนต้มเคี่ยว เมล็ดพุดจีนจะให้สีเหลือง ทำให้น้ำ เก็กฮวยมีสีสันสวยขึ้น

การใช้ประโยชน์

ใช้เป็นอาหาร ดอกแห้ง ใช้ต้มน้ำดื่มทำเป็นน้ำเก็กฮวย คุณค่าทางโภชนาการ

ใช้เป็นยา ทั้งคั้น ผสมกับพริกไทยดำ รักษาโรคโกโนเรีย

ใบ รักษาอาการปวดศรีษะ ดอก นำ ไปต้มเอาน้ำใช้หยอดตารักษาอาการเจ็บ กิน เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยเจริญอาหารช่วยระบายและช่วยย่อยและรักษาโรคไมเกรนได้ด้วย

เห็นมั้ยว่า นอกจากจะมีรสชาติดี ราคาไม่แพง แล้วยังมีสรรพคุณในการบำบัดรักษาโรค บางโรคได้ ดื่มได้ตลอดเวลา ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอีกด้วย

ส่วนวิธีการดื่มที่ถูกวิธี ควรดื่มแบบจิบช้าๆ และควรดื่มทันทีที่ปรุงเสร็จ เพื่อให้ได้คุณค่าทางอาหารและยา การดื่มน้ำสมุนไพรชนิดเดียว ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ อาจทำให้เกิดการสะสมสารบางชนิดที่มีฤทธิ์ต่อร่างกายได้

การดื่มน้ำสมุนไพรร้อนๆ ที่มีอุณหภูมิ 60 องศาเซนเซียสขึ้นไปทำให้เยื่อบุผิวหลอดอาหารเสียสภาพภูมิคุ้มกันเฉพาะที่ และอาจทำให้มีการดูดซึมสารก่อมะเร็ง,จุรินทรีย์ ฯลฯ ได้ง่าย

จากเวบ http://www.fwdder.com/topic/97979

พระธรรมของสมเด็จองค์ปฐม (ตอนที่ 1)

ขออนุญาตเอามาลงครับ ธรรมของสมเด็จองค์ปฐม จากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

อุบายการละสักกายทิฏฐิ


สมเด็จองค์ปฐมทรงเมตตาสอน อุบายการละสักกายทิฏฐิไว้มีความสำคัญดังนี้


1. “ให้ พิจารณาความไม่เที่ยงไว้เสมอ ๆ จักได้คลายความยึดมั่นถือมั่นลงได้ด้วยประการทั้งปวง แม้จักละได้ยังไม่สนิท ก็บรรเทาสักกายทิฏฐิลงได้บ้างไม่มากก็น้อย

2. “อย่า ลืมคำว่าสักกายทิฏฐิเป็นขั้น ๆ ตั้งแต่อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด คือ ตั้งแต่ปุถุชนมาสู่พระโสดาบัน-พระสกิทาคามี-พระอนาคามี-พระอรหันต์ ล้วนแต่ละสักกายทิฏฐิในระดับนั้น ๆ ทั้งสิ้น”

3. “สาเหตุก็เนื่องมาจากการเห็นทุกข์ในความไม่เที่ยง จากการเกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ พลัดพรากจากของรักของชอบก็เป็นทุกข์ ความโศกเศร้าเสียใจเป็นทุกข์ แล้วในที่สุดความตายเข้ามาถึงก็เป็นทุกข์ ต่างคนต่างปฏิบัติไป ก็เข้าสู่อริยสัจตามระดับจิตนั้น ๆ โดยเห็นความไม่เที่ยง-เป็นทุกข์-เป็นโทษ จึงพิจารณาสักกายทิฏฐิเพื่อปลดเปลื้องความยึดมั่นถือมั่นในทุกข์นั้นลงเสีย”



ความไม่ประมาท


อีกจุดหนึ่งที่ทรงเมตตาสอน เรื่องความไม่ประมาท มีความสำคัญดังนี้


1. ให้พิจารณาอายุของร่างกายที่มากขึ้นทุกวัน แสดงให้เห็นถึงความตายที่ใกล้เข้ามาทุกที จงอย่ามีความประมาทในชีวิต”

2. ให้เห็นทุกข์ของการมีชีวิตอยู่ในโลกที่ เต็มไปด้วยความเร่าร้อนจากภัยนานาประการ เรื่องเหล่านี้มิใช่ของแปลกหรือของใหม่แต่อย่างไร เป็นภัยที่มีอยู่คู่โลกมานานแล้วในทุก ๆ พุทธันดรที่เจอมาอย่างนี้”

3. อย่าไปหวังแก้โลก อย่าไปหลงปรุงแต่งตามโลก ให้เห็นตัณหา 3 ประการที่ครอบงำโลกให้วุ่นวายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”

4. ให้มองทุกอย่างตามความเป็นจริง แล้วปล่อยวางโลกเสียด้วยความเห็นทุกข์ เห็นความไม่เที่ยง น่าเบื่อหน่าย ไม่น่ายินดียินร้ายแม้แต่นิดเดียว”

5. อย่าไปสนใจในจริยาของคนอื่น ใครจักเป็นอย่างไรก็ช่าง ให้มองจิตตนเองเข้าไว้เป็นสำคัญ เพราะตนเองปรารถนาพระนิพพาน จักต้องโจทย์จิตของตนเองเอาไว้เสมอ ฝึกให้ปล่อยวาง เพราะการพระนิพพาน จิตคิดอะไรแม้แต่อย่างเดียวในโลกนี้หรือไตรภพ ก็ไปไม่ถึงพระนิพพาน

6. “การปฏิบัติมิใช่เป็นเพียงคำปรารถนาโก้ๆ เท่านั้น จักต้องเอาจริงเอาจังในการละซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างในโลก จึงจักไปได้ แต่ ราบใดที่ยังมีขันธ์ 5 อยู่ ก็ให้พิจารณาปัจจัย 4 เป็นสิ่งจำเป็นที่จักต้องยังอัตภาพให้เป็นไป สักแต่ว่าเป็นเครื่องอยู่ สักแต่ว่าเป็นเครื่องอาศัย แล้วอยู่อย่างพิจารณาให้เห็นชัดว่า ร่างกายหรือวัตถุธาตุทั้งหมด มีคำว่าเสื่อมและอนัตตาไปในที่สุด จิตก็คลายความเกาะติด จิตมีความสุข มีความสงบ เมื่อ ถึงวาระร่างกายจักพัง การตัดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายนอกรวมตัว หรือแม้แต่ร่างกายก็ตัดไม่ยาก เนื่องด้วยพิจารณาจนรู้แจ้งเห็นตามความเป็นจริงแล้ว

7. “ให้พิจารณาร่างกาย พิจารณาเวทนา โดยย้อนกลับไปกลับมา ไม่มีร่างกายก็ย่อมไม่มีเวทนา ไม่มีเวทนาก็ย่อมไม่มีร่างกาย แล้วให้เห็นปกติธรรมของรูปและนามซึ่งอาศัยซึ่งกันและกัน พิจารณาให้ลึกลงไป จักเห็นความไม่มีในเรา ในรูป ในนามได้อย่างชัดเจน เราคือจิต ที่ถูกกิเลสห่อหุ้มให้หลงอยู่ติดในรูปในนามอย่างนี้มานานนับอสงไขยกัปไม่ ถ้วน หากไม่พิจารณาให้เห็นชัดเจนลงไปในรูปและนาม ก็จักตัดความติดอยู่ไม่ได้ และเมื่อตัดไม่ได้ก็ไปพระนิพพานไม่ได้”

8. จิตเมื่อจักวางจริยาของผู้อื่นได้ ต้องใช้ปัญญา พิจารณาจุดนี้ให้มาก ๆ ลงตัวธรรมดาให้ได้ แล้วจิตจึงจักปล่อยวางกรรมของผู้อื่นลงได้ ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว เช่น เห็นการเกิดการตายเป็นของคู่กัน เกิดเท่าไหร่ตายหมดเท่านั้น เป็นของธรรมดา แม้แต่พวกเจ้าเองก็เช่นกัน อย่าคิดว่าร่างกายนี้จักยังไม่ตาย ทั้งๆที่ระลึกถึงความตายอยู่นี้ ยังมีความประมาทแฝงอยู่มาก ไม่เชื่อให้สอบจิตของตนเองดู 24 ชั่วโมง ระลึกถึงความตายอย่างยอมรับความจริงได้สักกี่ครั้ง มิใช่สักแต่ว่าระลึกอย่างนกแก้วนกขุนทอง หาได้มีความเคารพนับถือความตายอย่างจริงจังไม่ ซึ่งการกระทำอย่างนั้น หาประโยชน์ได้น้อย”

9. “จำไว้ มรณานุสสติกรรมฐานเป็นพื้นฐานใหญ่ที่จักนำจิตของตนเองให้เข้าถึงความไม่ประมาทได้โดยง่าย และเป็นตัวเร่งรัดความเพียร ด้วยเห็นค่าของเวลาชีวิตที่เหลืออยู่ ชีวิตจริง ๆ ดังเช่นเปลวเทียนวูบ ๆ วาบ ๆ แล้วก็ดับหายไป เกิดใหม่ก็ดับอีก หากไม่เร่งรัดปัญญาให้เกิดขึ้น ก็ยังจักต้องเกิดตายอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน”

10. ร่างกายที่เห็นอยู่นี้มิใช่ของจริง ตัวจริงๆ คือจิต ให้พิจารณาแยกส่วนออกมาให้ได้ ร่างกายนี้สักเพียงแต่ว่าเป็นที่อยู่อาศัยเสมือนบ้านเช่าชั่วคราวเท่านั้น ไม่ช้าไม่นานจิตวิญญาณก็จักออกจากร่างกายนี้ไป ทุกร่างกายมีความตายไปในที่สุดเป็นธรรมดาเหมือนกันหมด แล้วพิจารณาการอยู่ของร่างกายทุกลมหายใจเข้าออกคือทุกข์ เนื่องด้วยความไม่เที่ยง ทรงตัวไม่ได้ พิจารณาให้เห็นชัด จึงจักวางร่างกายลงได้ในที่สุด”

11. “แม้ แต่เรื่องของบ้านเมือง เรื่องของเศรษฐกิจเวลานี้สับสนวุ่นวาย ให้พิจารณาเห็นเป็นธรรมดา เพราะดวงประเทศไทยเป็นอย่างนี้เอง จักต้องทำใจให้ยอมรับสถานการณ์ให้ได้ทุก ๆ สภาพ เพราะล้วนเป็นกฎของกรรมทั้งสิ้น”

12. “ให้ ดูวิริยะบารมี เพราะยังมีความขี้เกียจอยู่เป็นอันมาก ให้โจทย์จิต (จับความผิดของจิต) เข้าไว้ให้ดี ๆ อย่าไปเสียเวลากับจริยาของผู้อื่น ใครจักเป็นอย่างไรก็ช่าง พิจารณาโลกก็เท่านี้หาที่สิ้นสุดไมได้ ประการสำคัญคือ ประคองจิตของตนเองให้พ้นไปเท่านั้น ความสำคัญอยู่ที่ตรงนี้”

13. “การสงเคราะห์บุคคลอื่น เป็นเพียงหน้าที่เท่านั้น อย่าเอาจิตไปเกาะกรรมของเขา มองให้เห็นธรรมดา แก้โลกไม่มีสิ้นสุดให้แก้ที่จิตใจตนเองเป็นสิ้นสุดได้ พยายามปลดสิ่งที่เกาะติดอยู่ในใจลงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จักมากได้ วางภาระและพันธะลงเสียให้เป็นสักแต่ว่าหน้าที่เท่านั้น จิตจักได้ไม่เป็นทุกข์ ประเด็นที่สำคัญอันจักต้องให้เห็นชัดคือพิจารณากฎของกรรม ให้ยอมรับนับถือในกฎของกรรม จุดนั้นจึงจักถึงซึ่งจิตเป็นสุขและสงบได้”

14. เวลานี้กฎของกรรมกำลังให้ผลหนัก ความผันผวนย่อมเกิดขึ้นได้ทุกวัน แต่ไม่ควรที่จักหวั่นไหว รักษาจิตให้สงบ ให้เห็นทุกข์อย่างเป็นธรรมดาเข้าไว้ รักษาอะไรไม่สำคัญเท่ารักษาจิตใจของตนเอง ใคร ตกอยู่ในห้วงของกิเลสก็ไม่สำคัญเท่ากับจิตใจของตนเองที่ตกอยู่ในห้วงของ กิเลส ดูจุดนี้เอาไว้ให้ดี รักษาอารมณ์ของตนเองให้อยู่ในกุศล ดีกว่าปล่อยให้ตกอยู่ในห้วงของอกุศล ปล่อยวางกรรมใครกรรมมันให้ได้ ใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นชัดในกฎของกรรม จุดนั้นแหละจึงจักปล่อยวางกรรมใครกรรมมันได้ ความสุขจักเกิดขึ้นแก่จิตใจของตนเองอย่างแท้จริง”

15. “การ ทำบุญและทำทาน แล้วพิจารณาด้วยความระลึกนึกถึงในบุญในทานอันทำเพื่อพระนิพพาน โดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นอย่างอื่น จัดเป็นจาคานุสสติด้วย และอุปมานุสสติด้วย เป็นการดีเพราะจิตอยู่ในอารมณ์กุศล ซึ่งดีกว่าปล่อยจิตให้ครุ่นคิดถึงความชั่ว-ความเลว แม้จักเป็นการกระทำของบุคคลที่อยู่รอบข้าง มิใช่การกระทำของเราเอง ก็ให้พิจารณาลงเป็นธรรมดา แล้วปล่อยวาง อย่าให้ติดอยู่ในอารมณ์ของใจ เพราะยิ่งคิดยิ่งฟุ้ง รวมทั้งสร้างความเร่าร้อนหรือเศร้าหมองให้เกิดขึ้นแก่จิต ต่างกับจิตที่อยู่ในบุญกุศล อยู่ในทาน-ศีล-ภาวนา มีแต่ประพฤติปฏิบัติยิ่งเยือกเย็นเป็นสุข มีความสดชื่นเอิบอิ่มใจ พิจารณาอารมณ์ทั้งสองอย่าง แล้วนึกเปรียบเทียบอารมณ์ทั้งหลายต่างๆเหล่านี้ดู จิตจักได้ไม่บริโภคอารมณ์ที่เป็นพิษ เพราะปกติจิตมักไหลลงสู่อารมณ์ที่เป็นกิเลส ถูกอกุศลธรรมเข้าครอบงำจิตมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จิตชินกับความเลวมากกว่าความดี ดังนั้นเวลานี้จักมาละความเลวกันก็จักต้องละกันที่จิต ฝึกจิตให้อยู่กับทาน-ศีล-ภาวนา ให้จิตติดดีมากกว่าติดเลว

16. “การสอบอารมณ์ของจิต เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง อย่าคิดว่าบุญ-ท่านไม่ติดแล้ว ฉันไม่เกาะ ถ้าหากสำรวจแล้วจิตยังติดเลวอยู่มากเพียงใด บุญ-ทานยิ่งไม่เกาะ จิตก็ยิ่งเศร้าหมองมากเพียงนั้น เพราะทำบุญทำทานไปก็เหมือนไม่มีผล จิตไม่ยินดี ไม่สดชื่นไปกับบุญ-ทานนั้น หากแต่ทำก็ทำไป จิตไม่ยินดี จิตกลับไปมีอารมณ์ติดบาปอกุศล อย่างนี้นับว่าขาดทุนแท้ๆ พระอรหันต์ท่านก็ยังทำบุญทำทานด้วยความยินดีและเต็มใจทำด้วยเมตตา กรุณา จิตเป็นสุข

17. คำว่าไม่เกาะ กล่าวคือ ไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ในโลกธรรมทั้ง 8 ประการ จิตไม่เกาะบุญ-บาปในที่นี้ เนื่องด้วยผลบุญบาปไม่สามารถให้ผลแก่จิตใจของท่านอีก (หมายถึงพระอรหันต์) แล้วพวกเจ้าเล่า จิตยังข้องอยู่ในบาปอกุศลเป็นอันมาก จักฝึกจิตให้จิตยินดีอยู่ในบุญ-กุศล มีความสุขสดชื่นบ้างไม่ดีกว่าหรือ ดังนั้นจงอย่าพูดว่าไม่ติดในบุญในทาน เพราะจิตยังติดอยู่ในบาป-อกุศล พระอรหันต์ท่านยังไม่ทิ้งจาคานุสสติกรรมฐาน ท่านมีอภัยทานอันเป็นทานสูงสุด เกิดขึ้นด้วยพรหมวิหาร 4 เป็นอัปมัญญา ท่านไม่ข้องอยู่ในบาปของบุคคลรอบข้าง เพราะท่านมีอภัยทานอยู่ในจิตเสมอ แล้วพวกเจ้ามีแล้วหรือยัง เพราะฉะนั้น จงอย่าประมาทในอกุศลธรรม รักษาจิตให้เป็นสุขสดชื่น ด้วยการระลึกนึกถึงบุญ (การทำบุญ) การทำทาน หรือรักษาศีล-เจริญภาวนาด้วยจิตยินดีทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพาน ดีกว่าปล่อยให้จิตตกเป็นทาสของบาปอกุศล”



หมายเหตุ


1. พระ พุทธองค์ทรงยกตัวอย่างให้ดู หลวงพ่อฤาษีซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ของพวกเราว่า แม้ท่านจะจบกิจเป็นพระอรหันต์มาหลายสิบปีแล้ว ท่านก็ไม่เคยทิ้งการทำบุญ-ทำทาน-ทำกุศล ให้พวกเราทุกคนปฏิบัติตามท่าน

2. บุคคลที่ฉลาด ทรงสอนให้ตัดหรือละสักกายทิฏฐิข้อเดียว ก็จบกิจในพุทธศาสนาได้

3. คำสั่งสอนของพระองค์มี 84,000 บท สรุปแล้วเหลือประโยคเดียวคือ จงอย่าประมาท” หรือ “จงพร้อมอยู่ในความไม่ประมาท

มองแต่สิงดีดี 30 วิธี ช่วยตัวเองให้มีความสุข

บทความดี ๆ มีประโยชน์เอามาจากเวบที่น่าสนใจ รวบรวมไว้ อ่านยามท้อใจ พลังจิตครับ

มองแต่สิงดีดี 30 วิธี ช่วยตัวเองให้มีความสุข


1. นึกไว้เสมอว่า การโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับคุณ 3 ชั่วโมง

2. ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจกรับรองว่าเขาต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้ง

3. ลองปลูกต้นไม้เองซักต้นการเติบโตของมันจะบ่งบอกตัวตนของคุณได้

4. หลับตานิ่งๆสัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้ามันช่างยากเย็นเหลือเกิน

5. ระหว่างแปรงฟันฮัมเพลงไปด้วยจนจบ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้นเป็น 2 เท่า

6. เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลงจากรสชาติที่ธรรมดา ก็จะอร่อยขึ้นเยอะเลย

7. ไม่ว่าผมจะสั้นหรือยาวแค่ไหนก็ต้องการให้หวีอย่างทะนุถนอมเหมือนกันหมด

8. การขึ้น-ลงบันไดสูงๆแบบไม่ให้เมื่อย คือ การไม่นับว่ากำลังยืนอยู่บันไดขั้นที่เท่าไร

9. คนตาบอดจะเห็นว่าคุณสวยมากๆทันทีที่คุณถามเขาว่า “ช่วยพาข้ามถนนไหมคะ”

10. เมื่อจะหยิบเศษเงินให้ขอทานไม่จำเป็นต้องนับก่อนที่จะหย่อนลงกระป๋องหรอก

11. ควรหัดพูดคำว่า ไม่เป็นไร ให้เคยปากมากกว่าจะพูดคำว่า จะเอายังไง

12. ลองตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้น 15 นาที รับรองว่าจะไม่ไปสายเหมือนเมื่อก่อน

13. สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง ดังนั้น เรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้ จึงเล่าให้มันฟังได้

14. อาหารที่จะไม่ชอบกินตอนเด็กลองตักเข้าปากอีกสักที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด

15. เขียนชื่อคนที่คุณเกลียดใส่กระดาษ แล้วฉีกทิ้ง (หรือแปะไว้ใต้รองเท้าแล้วใส่รองเท้านั้นไปเดินเล่นสักพัก)ความเกลียดจะเบา บางลงเรื่อยๆ

16. ปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้ง จะดูแทบไม่ออกเลยว่าเพิ่งร้องไห้

17. ตุ๊กตาและของเล่นเก่าๆจะทำให้เรายิ้มออกเสมอเมื่อได้เห็นมันอีกครั้ง

18. ก่อนซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมัน ทำให้ได้ 3 ข้อก่อน

19. ถึงเสื้อและกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าใสสลับกันไปเรื่อยๆก็จะดูเหมือนมีเยอะขึ้น

20. ซาลาเปา 1 ลูก กินได้ 2 คน ลูกชิ้นปิ้ง 1 ไม้ กินได้ 4 คน ถ้าคุณคิดจะแบ่งเท่านั้นเอง

21. เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ ดีกว่าให้คนที่ได้เยอะ จนจำชื่อคนให้ได้ไม่หมด

22. ในวันที่รู้สึกเศร้าหรือเหงาๆเดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองซักดอกก็จะดีขึ้น

23. แอบรักใครสักคน...ยังไงก็ยังดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึกรักมันเป็นอย่างไร

24. ถึงจะไม่ได้ออกไปไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความจะแต่งตัว สวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นี่

25. ฝึกโรแมนติกง่ายๆคนเดียวบ้าง ด้วยการนั่งนับดาวให้ครบ 100 ดวงก่อนนอน

26. ถ้าคุณเช็ดกระจกที่ขุ่นมัวที่สุดจนสดใสได้ ทำไมถึงจะเรียนดีกว่านี้ไม่ได้

27. พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบ มันอาจจะไม่สนุก แต่ก็มีประโยชน์แฝงอยู่

28. วันที่ตื่นเช้าให้บิดขี้เกียจให้นานที่สุด เท่าที่จะนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกาย

29. แค่เอาข้าวที่กินไม่หมดไปให้หมาที่เดินผ่าน ก็เป็นการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนแล้ว

30. ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในบ้าน แม่จะได้มีค่าขนมให้คุณเพิ่มขึ้นอีกหลายบาท

ร้อนในเป็นยังไง

บทความดี ๆ ครับ รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ

ร้อนใน คืออะไร

ร้อนในเป็นกลุ่มอาการที่แสดงออกดังนี้ มีขี้ตามาก
เป็นแผลจุดขาวใหญ่ ปวดแสบปวดร้อนที่กระพุ้งแก้มด้านใน
ริมฝีปากด้านใน ขอบลิ้น คอแห้ง ปากขม เจ็บคอ บางครั้งมีอาการไอ (ไอร้อน)
มีเสมหะเหลืองข้น ปวดเมื่อย ครั่นเนื้อครั่นตัว รู้สึกรุมๆ คล้ายจะเป็นไข้ บางครั้งท้องผูก


------------------------------------------------------------

ร้อนใน คืออะไร (คัดลอก)
ลลนา เล่มที่ 485 ปักษ์หลัง มีนาคม2536 หน้า 153-155

อาการร้อนในในทรรศนะของแพทย์ตะวันออกนั้น สิ่งแรกที่จะแสดงให้เราทราบก็คือ การถ่ายอุจจาระ ซึ่งในภาวะปกติคนทั่วไปจะมีอุจจาระเป็นสีเหลือง แต่พอเริ่มมีอาการร้อนใน อุจจาระมักจะมีสีน้ำตาลนิด ๆ มีลักษณะคล้ายครีม ซึ่งแสดงว่าเกิดการขัดแย้งภายในขึ้นแล้ว และที่สุดจะมีอาการเจ็บคอ คอแห้ง ถ้าเป็นมากจะทำให้ท้องผูก ขี้ตาแฉะ

สาเหตุที่จะทำให้เกิดอาการร้อนใน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง

ประการแรก คือ ร่างกายของคนมีลักษณะยิน (เย็น) เป็นหยาง (ร้อน) ต่างกัน เช่น ถ้าคน มีลักษณะเป็นหยางมากกว่ายินแล้วไปกินอาหารที่เป็นหยางเข้าไปก็เท่ากับทำให้ ลักษณะหยางในร่างกายเพิ่มขึ้น ก็จะเป็นโรคหยาง ซึ่งก็คือเกิดอาการร้อนในนั้นเอง

ประการที่สอง คือ เรื่องของอาหารในทรรศนะของจีนก็แบ่งเป็นยินและหยาง โดยที่อาหาร ประเภทหยางมักจะมีรสเผ็ด รสที่ค่อนข้างจัดหรือว่าเข้มข้น หรืออาหารทอดทุกประเภท ถ้าเป็นพวกผลไม้ก็เช่น เงาะ ทะเรียน ลิ้นจี่ หรือข้าวเหนียว นี้ถือว่าเป็นหยางหมด ส่วนอาหาร ประเภทยิน ก็คืออาหารชนิดที่กินเข้าไปแล้วทำให้รู้สึกชุ่มคอ รู้สึกสบาย ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็น พวกผักชนิดต่างๆ

ประการ ที่สาม คือ อากาศซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า 2 สาเหตุข้างต้น ก็คือฤดูกาล ที่เปลี่ยนไปมักจะมีแนวโน้มที่ทำให้เกิดยินกับหยางในลักษณะที่ต่างกัน เช่น ฤดูร้อน ความเป็นหยางจะสูง เพราะอากาศร้อน ถ้าหากร่างกายเป็นหยาง กินอาหารหยาง แล้วก็มาเจอหน้าร้อนเป็นหยางเข้า ก็จะทำให้อาการร้อนในแสดงได้มากและเด่นชัดขึ้น

วิธีป้องกัน
วิธีจะป้องกันไม่ให้เกิดอาการร้อนใน ก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันให้เหมาะสม นั่นคือท่านจะต้องรู้ร่างกายของตัวเองก่อนว่าเป็นยินหรือเป็นหยางมากกว่ากัน ตอนนี้อากาศ เป็นอย่างไร จะกินอาหารอะไร จึงจะสอดคล้องกัน คือพยายามปรับสมดุลให้ได้ อาการร้อนใน ก็จะไม่เกิดขึ้น

อาการร้อนใน ร้อนในคืออะไร
ร้อน ในเป็นกลุ่มอาการทางสุขภาพที่ผิดจากปกติหลายๆ อย่าง ร้อนในมิได้หมายถึงอุณหภูมิ ร่างกายที่สูงขึ้นแต่อย่างใด อาการตัวร้อนอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับร้อนในก็ได้ อาการร้อนใน มีผู้เข้าใจว่าเป็นเพียงอาการที่ในปากเป็นแผล ลักษณะเป็นดวงหรือจุดขาวใหญ่เท่าหรือใหญ่กว่า เม็ดถั่วเขียว และเจ็บที่แผลแบบปวดแสบปวดร้อน ซึ่งก็ถูกต้องแต่เป็นเพียงส่วนน้อย ของคำว่าร้อนใน ต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการร้อนใน โดยทั่วไปเกิดจากการรับประทานอาหารเผ็ด มัน รสจัด หรือย่อยยาก เช่น แกงเผ็ด ส้มตำ ข้าวเหนียว ขนุน ลำใย เป็นต้น

อาการร้อนในเป็นกลุ่มอาการที่แสดงออกดังนี้
ตาแฉะมีขี้ตามากหลังตื่นนอน / เจ็บที่เหงือก เหงือกเป็นแผล กระพุ้งแก้มด้านใน ริมฝีปากด้านในเป็นแผล / ลิ้นแตก เป็นแผล / ลมหายใจร้อน / คอแห้ง ปากขม กระหายน้ำ / เจ็บคอ บางครั้งมีอาการไอ (ไอร้อน) มีเสมหะเหลืองข้น / เมื่อยตามตัว ครั่นเนื้อครั่นตัว รู้สึกรุม ๆ คล้ายจะเป็นไข้ / ท้องผูก ถ่ายค่อนข้างลำบาก

มีอาการบางอย่างซึ่งไม่ใช้ร้อนในแต่เข้าใจผิด ว่าเป็นอาการร้อนใน เช่น ตัวร้อนมากเป็นไข้สูง / ไข้ทับระดู / คันคอ ไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ ไม่กระหายน้ำ (ไอเย็น) / ปากจืด ลิ้นมีฝ้าขาว / คออักเสบ / ไอมาก หลังเป็นหวัด / เป็นหวัด น้ำมูกไหล หรือน้ำมูกคั่งจมูก / ปวดหัวเนื่องจากหวัด / ท้องอืด ท้องเฟ้อ

สำหรับคนที่มีอาการร้อนในไม่มาก
วิธี แก้ไขคือ การกินอาหารบางอย่างเข้าไปก็ช่วยได้ อย่าพวก มะระ ฟักเขียว ผักต่างๆ ซึ่งอาจจะนำมาต้ม เป็นน้ำแกง โดยใส่เนื้อต่างๆ ลงไปด้วย หรือจะลวกกินก็ได้เมื่อรู้หลักการหรือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติแล้ว ท่านก็สามารถจะกินอาหารทุกชนิด ทุกอย่าง ได้โดยไม่มีปัญหา

ตัวอย่างอาหารที่มีลักษณะเป็นยิน
ปู เป็ด ห่าน กล้วย ถั่วเขียว เต้าหู้ แตงกวา ส้ม สาลี่ ฟักทอง เกลือ ผักโขม อ้อย ส้มจีน แตงโม มะเขือเทศ คึ่นฉ่าย น้ำมะพร้าว องุ่น มะกอก สับปะรด ผักกาดหอม ลูกพลับ เม็ดแมงลัก ฟัก

ตัวอย่างอาหารที่มีลักษณะเป็นหยาง
เนื้อวัว หมู ไก่ แพะ สุนัข งู เกาลัด พริก กระเทียม ขิง หอม พริกไทย ใบโหระพา ใบแมงลัก ทุเรียน ขนุน ลำไย ลิ้นจี่ เนื้อมะพร้าว

ดีท็อกซ์ใจให้หน้าใส ด้วยธรรมะ

ขออนุญาต คุณ ดนัย จันทร์เจ้าฉาย เจ้าของบทความมาลงนะครับ เห็นซึงประโยชน์ที่จะได้รับกันครับ

จากเวบพลังจิต ครับ

เพราะปัจจุบันมนุษย์เราสะสมต่อบาดแผลในใจไว้ ซึ่งพอสะสมมากๆก็ทำให้จิตใจขุ่นมัว ใบหน้าเหมือนสวมวิญญาณมารร้าย...

เนื่องในวันเข้าพรรษา สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 จัดงาน "ธรรมะชำระจิตใจเนื่องในวันเข้าพรรษา 2552" โดยจัดกิจกรรมธรรมะทอล์ก เรื่อง "ดีท็อกซ์ใจ" โดย ดนัย จันทร์เจ้าฉาย คนมีธรรมะในหัวใจ แห่งสำนักพิมพ์ดีเอ็มจี ที่อาคารมาลีนนท์ ทาวเวอร์ 2 เมื่อเร็วๆนี้

ผู้บริหารหน้าใสด้วยธรรมะอย่าง คุณดนัย เกริ่นตอนต้นว่า วิธีการทำให้ใบหน้าใสสวยมีการพูดถึงตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยพระนางมัลลิกาทูลถามพระพุทธเจ้า อะไรเป็นเหตุให้ผู้หญิงบางนางจึงมีผิวพรรณของใบหน้าแลดูใสสวยยิ่งนัก ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า ผู้หญิงผู้ไม่เป็นโกรธ ไม่ฉุนเฉียว ไม่แสดงความไม่พอใจ ผู้นั้นจะมีรูปร่าง หน้าตาดูน่าชม ผิวพรรณสดใสงามยิ่ง สิ่งที่เป็นปัญหาในจิตใจของเราในวันนี้ เพราะเราเป็นบุคคลที่มีแผลในใจ เราสะสมปฏิฆะ ความขุ่นข้องหมองใจ ในแต่ละวันเราปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เราจะสะสมปฏิฆะ บางคนมีเป็นคอลเลกชั่นจนพัฒนากลายเป็นโทสะ หากกระทบปั๊บ จิตเราจะไปทันที เวลาโกรธเราจะแสดงที่ใบหน้า แววตาของเรา ไม่ว่าจะเมกอัพขนาดไหนก็เห็น ซึ่งเวลาโกรธเราจะแปลงร่างจากสุภาพชนกลายเป็นทรชน จากมนุษย์เป็นมารร้าย พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนที่สะสมความโกรธนั้น เรากำลังสะสมภพภูมิของอสุรกาย

คุณดนัยกล่าวต่อว่า หลักง่ายๆในวิถีพุทธที่จะชนะความโกรธ ทำได้ โดย อาทิ นึกถึงผลเสียของการที่เราจะโกรธคนอื่น ถ้าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า เราโกรธตอบแสดงว่าเราโง่กว่า อยากให้นึกถึงหน้าตาตัวเองเวลาโกรธ ลองสังเกตหน้าตาตัวเองเวลาโกรธจะดูไม่ได้ อยากให้นึกถึงความดีของคนที่เราโกรธ นึกถึงข้อดีของเขา นอกจากนี้ นึกไปว่า ถ้าเขาทำให้เราโกรธ แสดงว่าเรากำลังทำให้เขาได้ใจ สมใจ ถ้าเราตอบโต้ความโกรธด้วยความโกรธก็จะมีแต่ผลเสีย อยากให้เรามีเมตตา มีเมตตากับตัวเอง และมีเมตตากับคนอื่น เมื่อเราเปิดใจให้เขา เราก็จะได้ใจของเขาด้วย

พร้อมกันนี้ ผู้บริหารคนดังยังได้เล่าประสบการณ์ผลดีของการระงับโทสะของตนเองว่า ตนเคยโดนกรีดยางรถยนต์ เพราะไปจอดรถในที่คนอื่น เนื่องจากรีบมาก และที่จอดรถของตนเองถูกคนอื่นจอดแทน เลยขอจอดที่คนอื่น เพื่อวิ่งไปทำธุรกิจ ไม่นาน ออกมาเจอรถตนเองถูกกรีดและถูกรถยนต์ของคนที่เป็นเจ้าที่จอดรถบล็อก ทำให้เอารถออกไปไม่ได้ ในวันรุ่งขึ้นตนได้นำกระเช้าดอกไม้และเดินไปขอโทษ พร้อมอธิบายเหตุผลให้ผู้บริหารชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นเจ้าของที่จอดรถที่กรีดยางรถยนต์ของตนเอง แม้จะไม่ได้รับการต้อนรับจากผู้บริหารคนนั้น แต่ก็ได้ ฝากข้อความไว้ที่เลขาฯเขา วันต่อมาได้รับตะกร้าผลไม้ ใบโตพร้อมโน้ตแสดงความเสียใจจากผู้บริหารชาวต่างชาติคนนั้นว่า ตนทำให้เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่ผิด ที่ผ่านมามีคนมาด่ามาว่าเขา เขาจะรู้สึกสะใจ และรู้สึกว่าได้สั่งสอนคนไทยที่ไม่ค่อยมีวินัย การกระทำของตนทำให้เขารู้สึกสำนึกผิด และให้อภัยคนที่มาจอดรถในที่ของเขา หลังจากนั้น ผู้บริหารชาวต่างชาติคนนี้ก็ได้กลายมาเป็นลูกค้าของตน แสดงให้เห็นว่า การให้ทานอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการให้อภัยทาน การให้อภัยจากใจของเรานั่นเอง

ทำบุญทางธนาณัติตายจากคนไป...แล้วไปเกิดบนสวรรค์

อ่านแล้วเห็นประโยชน์ จึงขออนุญาตคัดลอกจากเวบ พลังจิตครับ สาธุ ๆ ๆ ขอโมทนากับผู้ที่ได้เข้ามาอ่านด้วยครับ

ทำบุญทางธนาณัติตายจากความเป็นคนไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดบนแดนสวรรค์


คัดลอกจาก "ตายไม่สูญ....แล้วไปไหน" โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ) วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี



"..... วันที่ 19 กันยายน 2531 ท่านลุงพุฒิ (พระยายมราช) แต่งตัวสวยในชุดสอบสวน มาชวนอาตมาไปสำนักงานท่าน เพราะมีเรื่องด่วน แต่ขอให้อาตมาไปในรูปกายนอก เพราะถ้าไปในรูปภายในคืออทิสสมานกาย พวกรอการสอบสวนเขาเห็นยาก เมื่อไปถึงในห้องสอบสวน มีคนทั้งหญิงและชาย 30 คน อยู่ในห้องสอบสวน อาตมาแปลกใจเพราะเคยเห็นสอบสวนทีละคน แต่คราวนี้ทำไมมาก พวกนั้นนั่งพากันกราบ ตอนนี้ก็แปลกอีก คนที่ถูกสอบสวนไม่เคยทำอะไรได้เลย ท่านลุงบอกว่า

"พวกนี้สอบสวนเสร็จแล้วครับ ให้คอยคุณอยู่เพราะพวกนี้ก่อนตายเขาทำบุญกับคุณไว้มาก ไม่เคยเห็นตัวจริงคุณเลย เห็นแต่รูปถ่าย ไม่เคยถวายของกับองค์ท่าน แต่เขาส่งถวายทางธนาณัติเหมือนกันทุกคน
เป็นคนกรุงเทพฯ 3 คน คนอีสาน 10 คน คนภาคกลาง 17 คน
เมื่อทำบุญแล้วเขาบูชาพระ เขาขอให้ผมเป็นพยาน ผมก็เป็นพยานให้ไม่ต้องสอบสวน
พวกนี้ไปชั้นยามา 2 คน เพราะชอบสวดมนต์ สมาธิทำเหมือนกันแต่ยังไม่กระดิกหู ไปดาวดึงส์ 8 คน นอกนั้นอยู่ชั้นจาตุมหาราช"


เมื่อท่านลุงให้คนทั้งหมด 30 คน เข้ามาหาแล้ว อาตมาก็กลับวัด คราวนี้แปลกหน่อยที่ไปทั้งเปลือก หมายถึงไปทั้งกายเนื้อไม่ใช่เอาอทิสสมานกายข้างในไป...."


(เพิ่มเติมโดยผู้คัดลอก : ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีการสื่อสารได้เจริญก้าวหน้ามากขึ้น มีการใช้อินเทอร์เน็ตกันอย่างแพร่หลาย จึงนิยมบอกบุญผ่านทางอินเทอร์เน็ตกันมาก และก็มีผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญโดยผ่านทางธนาคารและโอนเงินผ่านทางตู้ ATM กันเป็นจำนวนมาก การโอนเงินโดยวิธีดังกล่าวก็เสมือนการโอนเงินทางธนาณัติ เพียงแต่สะดวกและรวดเร็วกว่า แต่อานิสงส์หรือผลบุญที่ได้ก็เป็นเช่นเดียวกัน.."

เจ้าของเวบ My Space เริ่มธุรกิจใหม่

พอดีพี่ ๆ ที่รู้จักในวงการงานออนไลน์ส่งงานมาดี ๆ มาให้ แบบสมัครฟรี ก็เลยเอามาให้กันครับ

น่าสนใจมากครับ ลองศึกษารายละเิอียดกันดูนะครับ ส่วนลิงค์ของบล็อก Tampogo นั้นจะอยู่ที่ลิงค์ที่น่าสนใจนะครับ

ขอบคุณครับ


ข่าวด่วน...ด่วนมาก....


เจ้า ของเวปไซต์ Social Network ชื่อดังกระหึ่มโลก "My Space" ผุดโปรเจคต์สะเทือนโลกออนไลน์ใหม่ล่าสุด ฉีกแนวทะลุเทรนด์ดังในรอบศตวรรษที่ 21 กระจุย...สร้างนิยามแหวกล้ำนำสมัยด้วยสโลแกนที่ใครๆบนโลกใบนี้ก็ปฏิเสธยาก ...พ่วงเอา 3 อุตสาหกรรมยักษ์ระดับโลก มารวมกันเป็นหนึ่งเดียวเจ้าแรกของโลก...
"แทมโพโก้" ห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ออนไลน์เครือข่ายที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก
1 - ซื้อสินค้าด้วยระบบออนไลน์ทันสมัย ปลอดภัย รวดเร็ว สั่งที่บ้าน ส่งถึงบ้าน
2 - มีแผนการตลาดระบบเครือข่ายหลายชั้นที่ง่ายแสนง่ายรองรับอีกด้วย
3 - และภายในเป็นระบบ Social Network แห่งใหม่ที่ให้จะทำให้ดังทะลุโลกกว่าเดิมที่เคยดังมาแล้วใน My Space
และ กำไรจากระบบจะบริจาคเข้าสาธารณกุศลอีกด้วย ถือเป็นองค์กรที่ไม่ค้ากำไรเกินควรไปพร้อมกัน....นี่คือ แนวคิดใหม่ รูปแบบใหม่ ถือเป็นนวัตรกรรมทางธุรกิจสุดอัจฉริยะจนโลกทั้งโลกต้องเหลียวมองด้วยความ ตื่นเต้นกันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน......
ตื่นเต้นแรก
- จะเป็นห้างสรรพสินค้าออนไลน์ที่มีระบบสมบูรณ์แบบเทียบเท่าเวปซื้อสินค้าออนไลน์ระดับโลกหลายๆตัวในขณะนี้เลยทีเดียว
- จะมีรายการสินค้าที่มากมาย หลากหลายนับหมื่นรายการให้ได้เลือกซื้อกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน
- ที่สำคัญ สินค้าในเวปไซต์ของ แทมโพโก จะมีราคาที่แตกต่างจากทุกที่ในโลกอย่างสิ้นเชิง (ลดแหลกแจกสะบัด)
- ระบบการสั่งซื้อ ชำระเงิน มาตรฐานระดับโลก ความปลอดภัยทียบเท่าระบบของธนาคารระดับโลก
- สั่งจากคอมพิวเตอร์ที่ต่อเน็ตได้ทุกที่ทั่วโลก ส่งได้ทุกที่ตามแต่คุณจะกำหนดในจอ
ตื่นเต้นที่สอง
- สมัครใช้เวปไซต์นี้ได้ฟรี อย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น...ไม่มีค่าแรกเข้า ค่าธรรมเนียมใดๆ 0 บาท.-
- ใช้แผนการตลาดง่ายๆแบบ ยูนิเลเวล จ่ายลึกถึง 8 ชั้น (ต้องแนะนำคนมาสมัครฟรีแล้วซื้อสินค้าในเวปขั้นต่ำต่อเดือน เพียงคนละ $20 หรือ 700 บาท.-เท่านั้น) ถ้าจะเรียกแบบศัพท์ขายตรงทั่วไปคือ ทุกคนช็อปปิ้งกันคนละ 700 บาทต่อเดือนนั่นเอง
- แผนการตลาด ไม่มีเงื่อนไขอะไรซับซ้อน ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีการทำยอด ไม่มีการสร้างคนสร้างผู้นำอะไรให้วุ่นวายขายปลาช่อน แนะนำให้ได้ 8 คนที่ช็อปปิ้งจริงๆ ก็จะได้โบนัสลึก 8 ชั้นๆละ $1 ต่อจุดทั้งแถวทั้งชั้น (จุดไหนไม่ได้ซื้อ ไม่ถือว่าเป็นชั้น)
- สมัครง่าย รวดเร็ว 1 นาทีก็ได้รหัสสมาชิกแล้ว สามารถไปบอกต่อได้เลยทันที ไม่ต้องรอข้ามวันข้ามคืน ได้รหัสสมาชิกแล้วก็สามารถล็อกอินเข้าเวปไซต์ได้ทันที
ตื่นเต้นที่สาม
- เวปไซต์เพิ่งเปิดให้สมัครสมาชิกเมื่อ 1 ก.ค.52 ที่ผ่านนี้เอง เพิ่งเริ่มต้นมาใหม่ๆ คุณคือคนที่รู้ข่าวพร้อมกันกับคนอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก....จริงๆแล้ว เมนูสำหรับกรอกข้อมูลในส่วนของประเทศไทยยังไม่เปิด แต่เรามีวิธีสมัครแบบทางลัด...เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสทองในครั้งนี้ พวกเราจะทำไปพร้อมกับคนทางอเมริกาเลยล่ะครับ...
ตื่นเต้นที่สี่
เมนูช็อปปิ้งออนไลน์ จะเปิดทำการในหน้าเวปไซต์ในวันที่ 15 ก.ค.52 ที่จะถึงนี้แล้วครับ พลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด...
ติดต่อ ทีมงานของพวกเราด่วน...รายละเอียดยังมีอีกมากมายเกินกว่าจะมาใส่ในเมล์นี้ ได้ เรามีเวปบล็อกภาษาไทยที่แปลเรียบร้อยไปแล้วเกิน 70% หัวข้อหลักๆมีหมดแล้ว คุณสามารถเอาไปใช้งานอ้างอิงในการประชาสัมพันธ์ได้เลยทันที
ไม่ต้องคิด มาก ไม่ต้องคิดนาน สมัครฟรีๆๆๆๆๆ ไม่ได้เสียอะไรแม้แต่บาทเดียว คนที่คิดน้อยแล้วลงมือก่อนคนอื่นๆ ย่อมมักจะได้โอกาสที่จะสำเร็จไปก่อนผู้อื่นเสมอ อย่ารอให้คนรอบข้างของคุณทุกคนสมัครไปหมดแล้ว มันจะสายเกินไปถ้าเป็นอย่างนั้น....
เข้าไปกรอกข้อมูลของท่านได้ที่นี่เลยครับ.........

Tampogo sign up

เวบบล็อก รายละเีอียดครับ
http://tampogo2u.blogspot.com/2009/07/004.html

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม mail มาที่

masiri_5@hotmail.com ปัญญา ครับ