Thursday, 19 November 2009
7 เทคนิคทำให้ชีวิตผ่อนคลาย
เทคนิคการผ่อนคลายตนเอง
1. ปัจจุบัน คือสิ่งที่สำคัญที่สุด - บ่อยแค่ไหนที่คุณมักจะพบว่าคุณเป็นกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น คนส่วนมากมักจะมีความวิตกกังวลในเรื่องของอนาคต แต่ในความเป็นจริงแล้วการวิตกกังวลไป ก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มักจะอยู่ในโลกแห่งอดีตหรืออนาคต คุณก็จะไม่สามารถผ่อนคลายได้เลย ฉะนั้นถ้าคุณต้องการผ่อนคลายอย่างแท้จริงคุณจะต้องมีสติอยู่กับปัจจุบัน เราเท่าทันตนเองอยู่เสมอ
2. สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนสำคัญ - ที่ที่คุณอยู่ หรือสภาพแวดล้อมที่คุณต้องเจอก็ส่งผลต่อจิตใจของคุณเช่นเดียวกัน หลายๆคนอาจไม่ได้ตระหนักถึงปัจจัยนี้ แต่ถ้าสังเกตให้ดี การอยู่มรบางที่ มันก็ยากที่จะรู้สึกผ่อนคลายได้ คราวนี้ เริ่มมองไปที่รอบตัวคุณ ถ้าคุณเห็นสิ่งที่คอยเตือนใจให้คุณทำโน่นทำนี้ คุณคงต้องลงมือทำอะไสักอย่างกับห้องของคุณแล้ว เจ้าพวกของที่คอยกวน ใจคุณเป็นเหมือนภาระ หนักของจิตใจคุณ จัดการจัดห้องให้เป็นระเบียบและเก็บมันไปให้พ้นหูพ้นตา หาของประดับห้องให้มีความรื่นรมณ์มากขึ้น คุณอาจยอมเสียเงินซื้อเครื่องฟอกอากาศสักเครื่อง หรือเทียนหอมมาจุด ก็ช่วยให้คุณผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังเป็นการเพิ่มประสิทธืภาพในการทำงานของคุณอีกด้วย
3. การทำสมาธิ - ระหว่างที่เรามีสมาธิ จิตของเราจะอยู่ในความเงียบ สงบ และรู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง การทำสมาธิสอนให้เรารู้จักจัดระเบียบของความคิดที่ยุ่งเหยิงของเรา ขณะที่มีสมาธิ จิตของเราจะหยุดนิ่ง ซึ่งนำมาซึ่งความสงบและความเบิกบาน การทำสมาธิจึงเป็นการผ่อนคลายที่ดีที่สุด คุณลองหาเวลาวันละ 10 - 15 นาทีเพื่อทำสมาธิ แล้วคุณจะรู้ว่าโลกแห่งความสงบและผ่อนคลายที่แท้จริงเป็นอย่างไร
4. ช้าๆได้พร้าเล่มงาม - การ ผ่อนคลายไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องปล่อยกายปล่อบใจอยู่ในสปา หรือบนชายหาดตลอดทั้งวัน เราจะต้องเรียนรู้ที่จะผ่อนคลายท่านกลางกิจกรรมปกติของเรา การจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่จะทำอย่างเป็นระบบ ทำงานเป็นขั้นเป็นตอน จะช่วยให้คุณทำงานสบายขึ้น และได้ผลงานที่มากขึ้น ในขณะที่คุญทำหลายสิ่งในเวลาเดียวกัน ความสบสนวุ่นวายก็จะเกิดขึ้น แล้วคุณก็จะไม่รู้สึกถึงการผ่อนคลายได้เลย เริ่มทำงานที่สำคัญมากที่สุดและเร่งที่สุดก่อน และวค่อยๆทำงานที่สำคัญลอองลงมา ค่อยๆทำอย่างรอบคอบ อย่ากดดันตัวเองให้ต้องทำงานให้มากที่สุด การทำวิธีนี้จะช่วยให้คุณทำงานถูกต้องมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ความสบายใจมีมากขึ้น นี่แหละคือรางวัลที่ยิ่งใหญ่สำหรับคุณ
5. อย่าขึ้นผูกติดกับความคิดเห็นของคนอื่น - บ่อย แค่ไหนที่คุณยึดติดกับความคิดของคนอื่น ตอนที่เรากังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร จะพูดอน่างไร นั้นก็คือเราได้สร้างภารทางใจให้กับตัวเอง เพราะลึกๆแล้ว เราพยายามต้องสนองความต้องการของคนอื่นอยู่ เราก็จะกดดันตัวเองและก็จะไม่มีทางที่จะผ่อนคลายเลย คุณรู้ไหมว่า คนอื่นก็มักจะคอยจับผิดเรา เราจะไม่มีทางดีพอสำหรับคนอื่นได้ ดังนั้น จงอย่าผูกติดตัวเองกับคำวิภากษ์วิจารณ์ของคนอื่นไม่ว่าจะเป็นในทางบวกหรือลบ ไม่ ได้หมายความว่าเราจะไม่สนใจความคิด เห็นของคนอื่น แต่หมายความว่า เราอย่าาทำให้ตัวเราต้องรู้สึกสนวุ่นวายใจเพียงเพราะความเห็นของคนอื่น เรารับฟังและนำมาคิดด้วยสติอย่างมีเหตุมีผล มันอาจจะทำยาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะรู้ว่าคุณยึดติดกับความคิดผู้อื่นน้อยลงเรื่อยๆ
6. ให้เวลากับตัวเอง - แบ่ง เวลางานและเวลาส่วนตัวออกจากกันอย่างชัดเจน มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่คุณจะว่างตลอด 24 ชั่วดมงเพื่อใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า หัวหน้า หรือแม้กระทั่งเพื่อน จงรับโทรศัพท์หรือตอบ email ลูกค้า หรือหัวหน้าในเวลทำงานเท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งกวนใจ และบั่นทอนพลังกายและใจของคุณ
7. การเปลี่ยนแปลงก็ดีไม่แพ้การพักผ่อน - ชีวิต เราคงไม่ดีแน่ถ้าเหมืนละครที่เล่นซ่ำไปซ่ำมา ถ้าคุณพบว่าคุณติดอยู่ในบ่วงของการทำสิ่งที่จำเจทุกวัน ถึงเวลาที่คุณต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแล้สหล่ะ เช่น ถ้าคุณดูโทรทัศน์หรือท่องอินเตอร์เน็ตหลังอาหารเย็นทุกวัน วันนี้คุณลองเปลี่ยนมาเดินเล่นรอบหมู่บ้านดูบ้าง การได้ทำสิ่งอะไรใหม่ๆ พบเห็นสิ่งใหม่ๆ จะช่วยให้คุณผ่อนคลายได้อย่างไม่รู้ตัว การผ่อนคลายง่ายเหมือนแค่การหายใจ เมื่อ ใดที่คุณรู้สึกเครียดหรือกดดัน คุณลองกำหนดลมหายใจเข้า-ออก หายใจอย่างนุ่มนวลและเป็นธรรมชาติ แค่นี้คุณก็จะรู้สึกถึงความผ่อนคลายได้ไม่ยาก
ขอบคุณข้อมูล : hbwellness
อัจฉริยภาพเด็กพัฒนาได้ด้วยธรรมะ
คงไม่ผิดนัก หากจะบอกว่าการมาถึงของความฉลาดทางอารมณ์ หรือ EQ (Emotional Quotient) ซึ่งเป็นเทรนด์การเลี้ยงดูเด็กที่ได้รับการเผยแพร่มาจากสื่อต่างประเทศ (ก่อนจะตามมาด้วยMQ, RQ, AQ และ อีกมากมายหลายประการนั้น)เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่กระตุ้นให้คุณพ่อ คุณแม่ยุคใหม่หันมาสนใจค้นคว้าหาวิธีพัฒนาศักยภาพลูกในด้านต่าง ๆ เหล่านี้เพิ่มมากขึ้น แทนการสนใจพัฒนาแต่ด้านวิชาการเพียงอย่างเดียวเช่นในอดีต
อย่างไรก็ดี ยังมีสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่สังคมไทยมายาวนาน นั่นก็คือ หลักธรรมะตามแนวทางของพุทธศาสนา อันได้แก่ พรหมวิหาร 4 อิทธิบาท 4 สังคหวัตถุ 4 และอริยสัจ 4 ซึ่งหลายคนอาจหลงลืมไป และไม่ได้นำมาใช้กับครอบครัวให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ ในจุดนี้ ทำให้ ศาสตราจารย์(เกียรติคุณ) พญ.ชนิกา ตู้จินดา กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงลูก ได้หยิบยกถึงการนำหลักธรรมะมาประยุกต์ใช้ในครอบครัว และพัฒนาอัจฉริยภาพทางอารมณ์ให้แก่ลูกในงานเปิดตำนาน"คู่มือเลี้ยงลูก"ฉบับ ครบรอบ 25 ปี ของสำนักพิมพ์รักลูกบุ๊กส์เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า "การเลี้ยงลูกโดยใช้หลักธรรมะ สามารถนำมาปรับใช้ได้กับลูกในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะถ้าเราแสดงให้เห็นตั้งแต่เด็ก เด็กก็จะได้เรียนรู้วิธีการเหล่านั้น นำไปสู่การมีความสุขในชีวิต และเป็นพัฒนาอีคิวของเด็กได้เป็นอย่างดี"
ทั้งนี้หลักธรรมะง่ายๆ ที่คุณหมอชนิการะบุว่า สามารถนำมาปรับใช้ในครอบครัวประกอบด้วย พรหมวิหาร 4 อิทธิบาท 4 สังคหวัตถุ 4 และอริยสัจ 4 นั่นเอง
พรหมวิหาร 4 ธรรมะเพื่อความสุขสงบในชีวิต
เมื่อเอ่ยถึง "พรหมวิหาร 4" อันประกอบด้วยหลักใหญ่ 4 ประการได้แก่ "เมตตา" คือ ความ ปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข "กรุณา" คือ การช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์ "มุทิตา" คือการยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี และ "อุเบกขา" คือการรู้จักวางเฉยนั้นโดยมากแล้ว เมตตาและกรุณา คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่เข้าใจและพร้อมนำมาใช้อย่างเกิดผล อย่างไรก็ดี สำหรับมุทิตา และอุเบกขา นั้น คุณหมอชนิกาให้คำแนะนำว่า มีหลายครอบครัวยังใช้ได้อย่างไม่ถูกต้องนัก "มุทิตาคือการยินดีเมื่อผู้อื่นทำความดี ในชีวิตประจำวัน เราอาจเอ่ยปากชมคนอื่นได้มากมายแต่กับลูก เรากลับไม่ได้ชมเวลาเขาทำดีมากนักเพราะพ่อแม่อาจถูกสอนมาว่าชมลูกมากไม่ได้ เดี๋ยวลูกเหลิง แท้จริงแล้ว การชื่นชมก็เหมือนกับการให้กำลังใจ ให้ลูกได้รู้ว่า พ่อแม่ชื่นใจและภาคภูมิใจนะที่ลูกทำความดี"
" ส่วนอุเบกขา หรือการวางเฉยนั้น มีคนเข้าใจผิดกันเยอะ และทำให้นำไปใช้ผิดวิธี เช่น เห็นลูกทำผิด ก็วางเฉยไม่ตักเตือน ทำให้เด็กๆ เหล่านี้เมื่อเติบโตขึ้นมามีพฤติกรรมก้าวร้าว ชอบใช้คำหยาบคาย ไม่ระมัดระวังกิริยาเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ส่วนพ่อแม่ก็วางเฉย หัวเราะอย่างเดียว อันนี้ไม่ถูก"
" แท้จริงแล้ว อุเบกขาคือการให้ลูกทำได้ด้วยตนเอง ซึ่งพ่อแม่สามารถฝึกลูกได้ตั้งแต่ยังเล็กตัวอย่างเช่น เมื่อลูกเริ่มหัดเดิน เขาก็ต้องมีล้มเป็นธรรมดา แต่เขาจะลุกได้ การที่พ่อแม่เข้าไปอุ้มหรือเข้าไปตีโต๊ะว่ามาเกะกะลูก ไม่ใช่สิ่งที่ถูก หรือลูกมีการบ้านมาจากโรงเรียน ลูกก็จะต้องทำด้วยตัวเอง พ่อแม่ไม่ต้องเข้าไปช่วยทำแทนเขา พอลูกทำได้ พ่อแม่ค่อยชื่นชม นั่นคือการนำอุเบกขามาใช้อย่างเหมาะสม"
อิทธิบาท 4 สอนให้ลูกมุ่งมั่นกับงานที่ทำ
อีกหนึ่งปัญหาปวดหัวที่คนเป็นพ่อแม่ยุคนี้ต้องรับมือก็คือ การที่ลูกเป็นเด็กจับจด ไม่มีความพยายาม ไม่อดทนต่ออุปสรรค ทำให้การทำงานไม่ประสบความสำเร็จดังที่หวัง ซึ่งในทางพุทธศาสนาก็ยังมีหลักธรรมชื่อว่า "อิทธิบาท 4" ที่จะสามารถแก้ไขพฤติกรรมเจ้าปัญหาของลูกได้อยู่เช่นกัน
โดยอิทธิบาท 4 ประกอบด้วย " ฉันทะ วิริยะจิตตะ วิมังสา" ฉันทะคือความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีตัวเองเป็น ส่วนวิริยะคือความพากเพียรพยายามมีจิตใจจดจ่อมุ่งมั่นทำให้เสร็จ จิตตะคือการมีจิตใจที่มุ่งมั่น ไม่ทอดทิ้งงาน และวิมังสาคือการหมั่นไตร่ตรองในสิ่งที่ทำลงไป และหมั่นพิจารณาในเรื่องดังกล่าวให้ลึกซึ้งยิ่ง ทำให้ดีขึ้นไปตลอดเวลา
"การฝึกอิทธิบาท 4 เรา สามารถเริ่มได้ตั้งแต่ลูกยังเล็ก ยกตัวอ ย่างเช่น การเล่นของเล่น เมื่อเด็กเล่นเสร็จ อาจทิ้งของเกลื่อนกลาดให้พ่อแม่เป็นคนเก็บอันนี้ไม่ถูก ควรจะถามลูก ว่าเราจะเก็บของเล่นอย่างไรดี ให้ลูกได้ใช้ความคิดพร้อมๆ กับได้เรียนรู้ว่ากิจกรรมนี้จะเสร็จสิ้นได้ก็ต่อเมื่อเก็บของเรียบร้อย"
นอกจากนั้นแล้ว การฝึกอิทธิบาท 4 ยังช่วยให้พ่อแม่ลูกได้ใกล้ชิดกัน เมื่อใกล้ชิดกัน พ่อแม่ก็จะสามารถสอนให้ลูกรู้จักกฎระเบียบภายในบ้านรู้จักทำสิ่งต่างๆ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน อีกทั้งคำพูดคำจา กิริยาท่าทางก็จะได้รับการกล่อมเกลาให้มีความประพฤติที่ดี สามารถอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคมได้อย่างปกติสุขด้วย
อริยสัจ 4 ธรรมะเยียวยาของเด็กทุกข์
ในสังคมปัจจุบันที่เด็กจะต้องเติบโตขึ้น พ่อแม่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความผิดหวัง และความทุกข์มากมายรอเขาอยู่เบื้องหน้า แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กที่ไม่มีธรรมะยึดเหนี่ยวจิตใจก็คือ เขาจะไม่เข้าใจความทุกข์ที่เกิดขึ้น และไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้นำมาซึ่งการอาละวาด ทำร้ายร่างกาย หรือหนักข้อขึ้นก็นำไปสู่การฆ่าตัวตาย เพิ่มปัญหาให้แก่สังคมอีกทอดหนึ่ง
อริยสัจ 4 ความจริง 4 ประการที่จะเข้ามาช่วยยกระดับจิตใจเด็ก ประกอบด้วย ทุกข์ สมุทัยนิโรธ มรรค เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะช่วยบรรเทาความทุกข์ในหัวใจของเด็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี ในจุดนี้ คุณหมอชนิกาแนะนำว่า ควรจะเริ่มจากการสอนเมื่อลูกรู้จัก "ความทุกข์" นั่นเอง
"อริยสัจ 4 คือการสอนให้ลูกได้รู้ว่าทุกข์คืออะไร และจะมีทางใดบ้างที่จะช่วยขจัดทุกข์ โดยพ่อแม่อาจสอนได้ง่าย ๆ ผ่านประสบการณ์จริงของลูกเช่น วันนี้ลูกไปโรงเรียนถูกคุณครูดุ หรือทะเลาะกับเพื่อนมา พ่อแม่อาจไต่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ชวนลูกคุยให้เล่าถึงสิ่งที่ได้ประสบมา และช่วยกันวิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหา ก่อนจะนำมาอธิบายให้ลูกได้เข้าใจ ในกรณีนี้อาจยกตัวอย่างประสบการณ์ของพ่อแม่ในอดีต และให้ลูกร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยก็เป็นได้"
" ส่วนแนวทางในการแก้ไข พ่อแม่อาจเป็นผู้ชี้แนะ หรือถามคำถามให้ลูกได้คิดเองว่าควรจะทำอย่างไร เช่น อยากให้เพื่อนพูดจากับลูกดี ๆ ก็ต้องพูดดี ๆ กับเขาก่อน เป็นต้น"
สังคหวัตถุ 4 น้ำทิพย์ชโลมใจเด็ก
ธรรมะ ข้อสุดท้ายอันได้แก่ สังคหวัตถุ 4 ซึ่งประกอบด้วย ทาน (การเอื้อเฟื้อแบ่งปันของๆ ตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น) ปิยวาจา (การพูดด้วยถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน เว้นการเท็จ ส่อเสียดคำหยาบ เพ้อเจ้อ) อัตถจริยา (การประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น) สมานัตตา (ประพฤติตนเสมอต้นเสมอปลาย) นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งหลักธรรมที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาแต่อดีต โดยเฉพาะการบริจาคทาน อย่างไรก็ดี คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สังคหวัตถุ 4 ในสังคมไทยปัจจุบันนี้ได้เลือนหายไปเป็นอันมาก อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมและการมาถึงของระบอบทุนนิยม แต่กระนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก หากครอบครัวจะปลูกฝังสังคหวัตถุ4 ลงในจิตใจเด็กเพื่อเรียกสิ่งดี ๆ ให้กลับคืนมา
" เมื่อเอ่ยถึงทาน ทานก็คือการแบ่งปัน เราฝึกได้ตั้งแต่เล็ก ๆ เวลามีเพื่อนมา ก็แบ่งของเล่นเล่นด้วยกัน มีสัตว์เลี้ยงก็ให้อาหารสัตว์เลี้ยง พาลูกไปตักบาตร พาลูกไปคารวะผู้ใหญ่ แต่ก็ต้องสอนลูกว่าไม่ควรให้จนตัวเองลำบาก เช่น ได้เงินวันละ 10 บาท แต่ให้เพื่อนหมด ตัวเองอดอยาก นอกจากนั้นการสอนเรื่องทาน ยังช่วยให้พ่อแม่ฝึกเด็กเรื่องการบริหารเงินด้วย เช่น มีกระปุกออมสินให้ลูกนำเงินค่าขนมที่ได้มาเก็บออมไว้ส่วนหนึ่ง กินขนมเองส่วนหนึ่ง แบ่งให้ผู้อื่นบ้างในบางโอกาส"
" นอกจากนั้น แรงงานก็เป็นทานอย่างหนึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นการให้ทานที่เป็นทรัพย์สิน เงินทอง เด็กที่มีจิตอาสา ช่วยงานคุณครู หรืองานโรงเรียน ก็เป็นทานอย่างหนึ่งเช่นกัน ส่วนปิยวาจาหรือก็คือการพูดโดยใช้ถ้อยคำไพเราะนุ่มนวล หากพ่อแม่ทำอย่างนี้ให้ลูกเห็นตั้งแต่เล็กๆ ลูกก็จะมีพฤติกรรมเหมือนพ่อแม่ไปด้วย"
" การสอนให้ลูกรู้จักสังคหวัตถุ 4 และทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ด้วยจิตใจ ทำด้วยความสม่ำเสมอเป็น สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนมาแล้วกว่า 2,500 ปีและเป็นสิ่งที่คนไทยควรเรียนให้ลึก เรียนให้รู้ เรียนเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา เพราะจะนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้นั่นเอง" คุณหมอชนิกากล่าวทิ้งท้าย
ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของ
สสส. และ วิชาการดอทคอม
ที่มา www.thaihealth.or.th
Thursday, 10 September 2009
Junk Food หรือ อาหารขยะ
วิถี ชีวิตและพฤติกรรม ที่เปลี่ยนไปของคนเมือง ทำให้ต้องฝากปากท้อง กับอาหารสำเร็จรูป และอาหารจานด่วน ซึ่งส่วนมาก จะมาในรูปอาหารตะวันตก ประเภทสะดวก เร็ว อิ่ม (แต่แพง) เพราะซื้อหาได้ทั่วไป ถูกปากคนรุ่นใหม่ ใส่บรรจุภัณฑ์เก๋ไก๋ พกพาไปได้ทั่ว รับประทานได้ทุกที่
คำว่า Junk Food เป็นศัพท์แสลงของ อาหารที่มีสารอาหารจำกัด หรือที่เรียกกันว่า อาหารขยะ อาหารไร้ประโยชน์ อาหาร ที่นักโภชนาการ ไม่เคยแนะนำ อะไรทำนองนี้ แต่ขึ้นชื่อว่า Junk Food จะต้องประกอบด้วยสารอาหาร ที่ให้พลังงานเป็นส่วนใหญ่ เช่น น้ำตาล ไขมัน แป้ง และมีส่วนประกอบโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ น้อยมาก ตัวอย่างเช่น ขนมขบเคี้ยวรสเค็ม รสหวาน ลูกอม หมากฝรั่ง ขนมหวานทุกชนิด อาหารทอด อาหารจานด่วนบางชนิด และน้ำอัดลม หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Empty Calorie มีความหมายว่า ไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์เลย เทียบกับอาหารไทย โดยพื้นฐานแล้ว ในหนึ่งจานให้คุณค่าหลากหลาย ไขมันต่ำกว่า อุดมด้วยสมุนไพร ที่เป็นคุณต่อสุขภาพ แต่ด้วยความเร่งรัดของวิถีชีวิต ทำให้คนไม่มีเวลาเลือกหา และไม่ยอมเสียเวลา ปรุงอาหารรับประทานเอง อย่างน้อยหนึ่งมื้อ ในหนึ่งวันของใครหลายคน จึงเลือก Junk Food เป็นทางออก ขณะเดียวกัน ก็ยอมเสียสตางค์แพงๆ เลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มาเติมเต็มทดแทน ส่วนที่ขาดหายไป …ถ้าคนไทยไม่รู้จักแฮมเบอร์เกอร์ เฟรนซ์ฟราย พิซซ่า แต่ยังคงกินน้ำพริกปลาทู ข้าวกล้อง ส้มตำ ข้าวเหนียว ไก่ย่าง แกงส้ม… โรคไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน เบาหวาน และ อื่นๆ อีกมากมาย ก็ไม่น่าจะเจอในคนอายุน้อยๆ เหมือนที่พบมากในปัจจุบัน ที่สำคัญ เงินทองไม่รั่วไหล ออกนอกประเทศ จำนวนมหาศาลต่อปี
Junk Food ส่วนใหญ่ จะให้พลังงานที่ได้มาจาก ส่วนประกอบ 3 อันดับแรกคือ น้ำตาล ไขมัน และแป้ง ดังนั้น ต้องพิจารณาให้ดี อาหารสำเร็จรูปบางชนิด จะมีฉลากโภชนาการแจ้งให้ทราบ
อาหาร Junk Food ยอดนิยม ยังขาดสารอาหาร ที่มีความจำเป็นต่อการทำงาน ของร่างกายอยู่หลายชนิด และในทางตรงกันข้าม ก็มีพลังงานหรือสารอาหารบางตัว ที่ยังไม่สมดุลกับความต้องการ การดูแลสุขภาพร่างกาย ให้พร้อมสำหรับชีวิตประจำวัน เพื่อให้ร่างกายมี ความสมบูรณ์ และแข็งแรงในรูปแบบง่ายๆ ซึ่งเราๆ ท่านๆ ท่องจำขึ้นใจ เป็นเสียงเดียวกันว่า หนึ่ง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สอง รับประทานอาหาร ให้ถูกหลักโภชนาการ และสาม พักผ่อนให้เพียงพอ แต่ถามว่ามีสักกี่คนที่ปฏิบัติทั้ง 3 ข้อนี้ได้อย่างแท้จริง
ภญ.ผศ.ดนิตา ภาณุจรัส
ภาควิชาเภสัชกรรมชุมชน คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
สุขภาพน่ารู้.....เก็บมาฝาก [แสดงความคิดเห็น]
1. การกินคะน้าตาไม่เป็นต้อ
คะน้าเป็นผักหาง่ายในท้องตลาด เป็นผักที่อุดมไปด้วย วิตามินซี วิตามินอี แคโรทีนอยด์ และโฟเลต นอกจากนี้ยังมีสาร “ ลูทีน ” ซึ่งเป็นสารสำคัญที่พบในเลนส์ตา จากงานวิจัยพบว่า การกินอาหารหรือพืชผักที่มีสารลูทีนสูง เช่น คะน้า จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกลงได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่กิน นอกจากนี้การกินคะน้าเป็นประจำ ยังช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร ปอด และเต้านมอีกด้วย
2. การกินเห็ดป้องกันกระดูกพรุน
คนส่วนใหญ่ทราบดีว่าการขาดวิตามินดีและแคลเซียม จะทำให้กระดูกไม่แข็งแรง ยิ่งอยู่ในวัยสูงอายุก็อาจเพิ่มอัตราความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ล่าสุดนักวิจัยพบว่า การกินอาหารที่มีธาตุ ทองแดงเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ และการขาดธาตุทองแดงแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้อาการกระดูกพรุนแย่ลงไปอีก ดัง นั้นการกินอาหารที่มีธาตุทองแดงมาก เช่น เห็ด ปู กุ้งมังกร หอยนางรม ลูกพรุน ปลาซาร์ดีน จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น
3. การกินแอปเปิลให้ปอดแข็งแรง
ไม่ว่าจะกินแอปเปิลเขียวหรือแดงก็ดีต่อปอดเป็นที่สุด เพราะแอปเปิลมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อ “ เคอร์ซีทิน ” สารตัวนี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดอย่างได้ผล นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย วิธีการกินแอปเปิลให้ได้สารเคอร์ซีทีนมากที่สุดก็คือ ต้องกินผลสดทั้งเปลือก ซึ่งจะให้ได้รับสาร “ เพกทิน ” จากเปลือกแอปเปิลเพิ่มขึ้นด้วย สารเพกทินมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย ส่วนคุณสาว ๆ ที่ต้องการลดน้ำหนักการกินแอปเปิลจะช่วยให้อิ่มนาน ไม่รู้สึกหิว เพราะในแอปเปิลมีคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันทีถึง 75 เปอร์เซ็นต์ การกินแอปเปิลสด ได้ประโยชน์มากมาย
4. การกินองุ่นทั้งเมล็ดช่วยชะลอความแก่
ใครที่อยากเป็นหนุ่มเป็นสาวสองพันปี เรามีวิธีการชะลอความชราด้วยการกินผลไม้ที่หาง่าย ๆ เช่น องุ่น และต้องเคี้ยวเมล็ดองุ่นด้วย เพราะในเมล็ดองุ่นมีสาร “ โอพีซี ” (oligomeric proanthocyanidin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซีถึง 20 เท่า และสูงกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า องุ่นจึงเป็นผลไม้ที่ช่วยรักษาสุขภาพจากภายใน ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวพรรณให้ดูอ่อนกว่าวัย ช่วยชะลอความชรา และเป็นสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคที่เกี่ยวกับจอประสาทตาอีกด้วย
ขอบคุณที่มาจาก teenee.com
Wednesday, 2 September 2009
ไขประตู สู่โลกความลับ
เฉลยข้อหนึ่งก็มีเฮกันครั้งหนึ่ง เพราะคำตอบที่ถูกมักจะดูเหมือนผิด และคำตอบที่ผิดมักจะดูเหมือนถูก โดยเฉพาะข้อที่เกี่ยวข้องกับ “การสื่อสาร” กันระหว่างพ่อแม่ลูก และคนในครอบครัว
เชื่อไหมคะว่า คนในครอบครัวซึ่งเราคิดว่าเรารู้จักกันดีที่สุด อยู่บ้านหลังเดียวกัน เห็นกันทุกวัน แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วกลับเป็นกลุ่มคนที่เราระวังคำพูดกับเขาน้อยที่สุด บางครั้งเราพูดกับคนที่ที่ทำงานหรือเพื่อนๆ ที่โรงเรียนยังเพราะกว่าพูดกับคนในบ้านเสียอีก และหลายครั้งเราเลยพลาดได้รู้ข้อมูลดีๆ หรือข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการดูแลคนใกล้ตัว เพราะเราขาดทักษะสื่อสารง่ายๆ ที่ทำให้เราใกล้ชิดกันแทนที่จะน้อยใจกันอยู่เรื่อยๆ หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ เคยพูดว่า มนุษย์เราไม่ค่อยทำร้ายกันด้วยวิธีอื่นหรอกค่ะ เราไม่ค่อยทำร้ายร่างกายกัน ไม่ค่อยโกงกัน แต่เราจะทำร้ายกันมากที่สุดก็ด้วยคำพูดนี่ล่ะค่ะ อาวุธใกล้ตัวที่ใช้ง่ายที่สุด สะดวกที่สุด และส่วนใหญ่ในครอบครัวนี่เองที่จะบาดเจ็บด้วยอาวุธนี้มากที่สุด
วันนี้ ลองทำข้อสอบทางจิตวิทยาเรื่องการพูดของเราเล่นๆ ดูไหมคะ สักสามข้อ...
สมมติว่า ถ้าลูกของเราพูดกับเราด้วยถ้อยคำไม่น่ารักตอนที่เขาโมโหหรือหงุดหงิด เราควรทำอย่างไรคะ
ก. ขอคำอธิบาย ข. สั่งให้ขอโทษ ค. ไม่ให้ความสนใจ
เวลาที่พ่อแม่ไม่รู้ตัว เขามักจะสื่อสารกับลูกแบบไหน
ก. พูดด้วยกันแบบเปิดใจ ข. เลกเชอร์ลูกสั้นๆ ค. ตำหนิและสั่งสอน
อะไรคือปัญหาการสื่อสารในครอบครัวยุคปัจจุบันนี้คะ
ก. พ่อแม่พูดมากเกินไป ข. เด็กไม่ยอมหยุดพูด ค. เด็กไม่ยอมฟัง
แม้จะนั่งตอบกันไป เฉลยแล้วขำกันไป แต่เนื้อหาข้อสอบเหล่านี้ ก็ทำให้เรามองเห็นอะไรดีๆ เกี่ยวกับความเป็นตัวเราได้พอสมควรทีเดียว ข้อแรกนั้น คำตอบคือ ค. ไม่ให้ความสนใจ ไม่ต้องไปฟังหรือบังคับให้ลูกอธิบายว่าทำไมพูดแบบนั้น คำกุญแจคือคำว่า “โมโห” ค่ะ เพราะเด็กมักจะพูดอะไรก็ได้ที่ไม่น่ารักออกมาตอนโมโห เช่น หนูไม่รักแม่แล้ว หนูเกลียดพ่อ ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วเขาไม่ได้หมายความอย่างนั้นสักนิด ตัวเราเองก็เหมือนกันใช่ไหมคะ บางครั้งเราโมโหก็พูดอะไรโดยไม่ตั้งใจออกไปเหมือนกัน แล้วก็มานั่งเสียใจภายหลัง แต่ถ้าคนฟังไม่ถือโทษ เราจะรู้สึกดีกับคนคนนั้นมากมาย อาจแอบนึกขอบคุณในใจด้วยซ้ำ เกิดความไว้วางใจในความรักของเขาขึ้นอีกมาก
ส่วนข้อสอง เฉลยคือ ค. ค่ะ เวลาที่เราไม่รู้ตัว คนเป็นพ่อแม่มักจะ “ตำหนิและสั่งสอนลูก” นี่คือสิ่งที่นักจิตวิทยาอเมริกันค้นพบหลังจากเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของพ่อแม่ จำนวนมาก และถ้ากว่าครึ่งของเวลาการสื่อสารคือการตำหนิ ลองคิดดูสิคะว่าลูกจะมองเห็นตัวเองเป็นคนแบบไหนถ้าเขาโดนตำหนิเสมอ เหมือนทำอะไรก็ไม่เคยถูกเสียที นักจิตวิทยามักพูดว่าพ่อแม่ที่สั่งสอนลูกตลอดนั้น เพราะลึกๆ แล้วเขาไม่ไว้ใจว่าลูกเขาจะคิดเป็น เขาเลยต้องบอกต้องสั่ง และเด็กก็รับรู้ได้และเลยกลายเป็น “เด็กไว้ใจไม่ได้” ไปจริงๆ ในที่สุด เพราะเด็กจะ “เห็นภาพภายใน” ของตัวเองว่าเป็นอย่างไร ก็จากวิธีที่พ่อแม่สื่อสารเกี่ยวกับตัวเขานี่ล่ะค่ะ หลายครั้งเราอยากให้ลูกเป็นเด็กไว้ใจได้ พูดความจริง เปิดใจกับเรา แต่พฤติกรรมและคำพูดของเราส่งผลให้เป็นตรงกันข้าม แล้วก็มานั่งเสียใจกันทุกฝ่ายตอนลูกเป็นเด็กวัยรุ่น หรือเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่มี “โลกส่วนตัว” ที่พ่อแม่เข้าไม่ถึง
การให้เกียรติสำคัญมาก เชื่อไหมคะว่า เด็กที่พ่อแม่เลือกที่จะให้เกียรติ ส่วนใหญ่จะไม่กล้า “ทำลายเกียรติ” ของตัวเองในทุกๆ กรณี เพราะการให้เกียรติคือการไว้ใจ เด็กที่หนูดีรู้จักดีคนหนึ่ง สามารถไปเที่ยวงานปาร์ตี้ที่มียาเสพติดได้โดยไม่เคยเสพยาแม้แต่หนเดียวตลอด ทั้งชีวิตวัยรุ่น ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า ครอบครัวให้เกียรติเขา เขาก็จะไม่ทำลายเกียรตินี้ด้วยการเล่นยา แม้ว่ามันจะวางอยู่ตรงหน้าก็ตาม และที่น่ารักก็คือ บ้านนี้ก็ไม่เคยห้ามลูกเที่ยวกลางคืนเสียด้วย ด้วยเหตุผลง่ายๆ เช่นกันว่า “ไว้ใจเขา”
หนูดีเคยอ่านสัมภาษณ์ครอบครัวอเมริกันครอบครัวหนึ่งที่เลี้ยงลูกสาววัยรุ่น ด้วยระบบ “ไว้ใจ” และครั้งหนึ่งเป็นช่วงตรวจร่างกายประจำปี พ่อแม่พาลูกสาวไปตรวจแล้วเมื่อเจาะเลือด หมอพบว่าเด็กกำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงขอพบพ่อแม่ต่างหากแล้วแจ้งข่าวนี้ให้ฟัง แทนที่พ่อแม่จะตกใจ ทั้งสองคนหัวเราะขึ้นมาแล้วบอกว่า “เป็นไปไม่ได้” แต่คุณหมอเถียงว่า ผลการตรวจยืนยันอย่างนี้ ทั้งคู่จึงขอให้คุณหมอตรวจใหม่ เพราะมั่นใจว่าผลการตรวจผิดพลาดแน่นอน และเมื่อตรวจใหม่อีกครั้งก็พบว่า เด็กไม่ได้ตั้งครรภ์จริงๆ ซึ่งเรื่องนี้หมอและพยาบาลประหลาดใจมากว่า พ่อแม่ที่เชื่อใจลูกในระดับนี้มีอยู่จริง พ่อแม่ให้สัมภาษณ์ตอนท้ายว่า ถ้ามีเรื่องใหญ่ขนาดนี้เกิดขึ้นในบ้าน ลูกสาวเราต้องบอกเราแล้ว ถ้าไม่บอก แปลว่าไม่มี...เด็กผู้หญิงคนนี้โชคดีจริงๆ ค่ะ
และข้อสุดท้าย คำตอบคือ ก. พ่อแม่ไม่ยอมหยุดพูดค่ะ จริงๆ แล้วการที่เด็กส่วนใหญ่ไม่ยอมเปิดใจ เป็นได้ส่วนหนึ่ง เพราะว่าไม่มีช่องที่จะพูดแทรกเท่าไรเลยค่ะ พ่อแม่พูดเรื่องนั้น สั่งสอนเรื่องนี้ แล้วหลังจากนั้นก็ยุ่งวุ่นวายกับกิจกรรมการงานของตัวเองจนลูกรู้สึกว่า เรื่องที่เขาจะพูดก็คงไม่ได้สำคัญขนาดนั้น แล้วเรื่องส่วนใหญ่ในชีวิตของลูกก็ไม่ได้สำคัญนักหรอกค่ะ ไปโรงเรียน ทำการบ้าน กลับมาบ้าน ไปเรียนพิเศษ ไปเจอเพื่อน นานครั้งจึงจะมี “วิกฤต” เกิดขึ้นในครอบครัว แต่ถ้าเราไม่ฝึกลูกให้มาหาเรา มาเล่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในเวลาที่มันไม่สำคัญเสียแล้ว พอถึงเวลาสำคัญจริงๆ เขาก็คงไม่มาหาเราเหมือนกันนะคะ ลองนึกภาพเด็กน้อยวัยเตาะแตะที่ดึงชายเสื้อพ่อแม่เพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ไม่มีใครหันมา คิดว่าเด็กจะพยายามกี่ครั้งคะ ก่อนที่จะเลิกสนใจแล้วหันไปหาอะไรอย่างอื่นทำ
บ้านส่วนใหญ่ ไม่ได้จัดเวลาประชุมพูดคุยประจำครอบครัวทุกๆ อาทิตย์ แต่จริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่นักจิตวิทยาแนะนำมากเลยค่ะ เวลานั่งคุยกันสบายๆ ใครไปทำอะไรมาก็เล่าให้กันฟัง ถ้ามีได้ทุกวันตอนเย็นยิ่งดี อาจเป็นเวลาอาหารเย็นหรือหลังอาหารเย็น และอย่าปล่อยให้โทรทัศน์ทำหน้าที่พูดในบ้านแทนเรา เพราะโทรทัศน์ไม่ได้มีหน้าที่อบรมดูแลเด็ก หน้าที่นั้น คนที่ทำได้ดีที่สุด ด้วยหัวใจทั้งดวงก็คือเรา ไม่ใช่ครู ไม่ใช่โทรทัศน์ ไม่ใช่เพื่อนเขา และยิ่งไม่ใช่เพื่อนต่างเพศใหญ่เลยค่ะ
เราใช้เวลา “พูด” เยอะมากในวันหนึ่งๆ จริงๆ แล้วน่าลองสังเกตดูนะคะ ว่า เราได้ “ฟัง” คนรอบตัวเท่าที่เราพูดกับเขาหรือเปล่า และหากเราใช้เวลาฟังคำพูดน้อย ก็แปลว่า เวลาที่เราจะฟัง “ความหมายแอบแฝงหลังถ้อยคำ” ก็ยิ่งน้อยไปใหญ่ และส่วนใหญ่ความลับดีๆ ก็ซ่อนอยู่หลังคำพูดทั้งนั้น ลองนึกถึงเวลามีใครมาบอกรักเราสิคะ เราเลือกฟังคำว่า “รัก” หรือดูท่าทาง แววตาและพฤติกรรมประกอบเพื่อช่วยให้เราเข้าใจความหมายที่แท้จริงที่แฝงหลัง ถ้อยคำ
การเข้าสู่โลกความลับและการสื่อสารอย่างมีศิลปะ จริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรมากมายไปกว่าการมีเวลา การฟัง และเข้าให้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่หลังถ้อยคำเท่านั้นเอง เราทำเช่นนี้บ่อยไปในโลกธุรกิจ ดังนั้นก็คงไม่ยากที่จะดึงทักษะนี้มาใช้กับคนในครอบครัว โดยเฉพาะกับลูก เพราะวิกฤตในโลกธุรกิจไม่ใหญ่เท่าไรถ้าเทียบกับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นในครอบ ครัวถ้าเราฟังไม่เป็น ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วทักษะการสื่อสารแบบอ่อนโยน เปิดใจ สบายใจ ไร้ซึ่งความลับและความกังวล เป็นทักษะที่แทบจะสำคัญที่สุดในทุกๆ ความสัมพันธ์ โลกแห่งความลับของลูกเปิดเข้าไปได้ไม่ยาก ขอแค่เรามีกุญแจเท่านั้น และกุญแจดอกนั้นก็อยู่ในมือเรามาตั้งแต่วันที่ลูกเกิดแล้วค่ะ วันนี้ลองดูไหมคะ เริ่มต้นง่ายๆ ที่ลองฝึกฟังสิ่งที่ลูกไม่ได้สื่อสารออกมาด้วยถ้อยคำเป็นแบบฝึกหัดแรกดู ก็สนุกดี
[url=http://www.posttoday.com/lifestyle.php?id=64572]
Thursday, 27 August 2009
ระวังบุหรี่แปลงร่างเป็น ‘น้ำดื่มนิโคติน’
ปรุงรสดึงดูดใจ หวั่นยั่วยุให้เยาวชนอยากลอง
เตือน ภัยบุหรี่รูปแบบใหม่ แปลงร่างเป็นน้ำดื่มนิโคติน ปรุงรสชาติให้อร่อยน่าลิ้มลองโดยไม่ต้องสูดควัน หวั่นทะลักเข้าไทยในงานประชุมยาสูบโลก "เอ็กซ์โปบุหรี่" ที่กรุงเทพฯ เตรียมพร้อมเฝ้าระวังไม่ให้ละเมิดกฎหมายไทย
จาก กรณีอุตสาหกรรมยาสูบโลก เลือกประเทศไทยเป็นสถานที่จัดงานแสดงนิทรรศการความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและ นวัตกรรมการทำตลาดบุหรี่ ในชื่อ Tabinfo 2009 ณ กรุงเทพฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2552 ส่งผลให้มีกลุ่มนักวิชาการและเครือข่ายวิชาชีพเพื่อการไม่สูบบุหรี่ ได้เคลื่อนไหวเผยแพร่ข้อมูลและเป้าหมายแอบแฝงในการจัดงานดังกล่าว
ทันตแพทย์หญิงวิกุล วิสาลเสสถ์ มูลนิธิสุขภาพไทย เปิดเผยว่า กลยุทธ์ทางการตลาดที่แยบยลของงานนิทรรศการยาสูบโลกครั้งนี้คือ การแสดงผลิตภัณฑ์ยาสูบในรูปแบบใหม่และโฆษณาว่าลดพิษภัย เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตก้นกรองที่ใช้แสงเลเซอร์เจาะรูพรุนเพื่อให้สาร พิษ ได้แก่ นิโคตินและทาร์ลดลง แต่ในความเป็นจริงบุหรี่ต้องคีบด้วยนิ้ว ทำให้คุณสมบัติดังกล่าวไม่เกิดประสิทธิภาพ การเติมกลิ่นผลไม้ ดอกไม้ หรือน้ำหอมชั้นสูงที่กระดาษมวนบุหรี่ เพื่อลดกลิ่นเหม็นจากควันเผาไหม้ยาสูบ รวมทั้งบุหรี่ชูรสและเติมกลิ่นหอมสำหรับกลุ่มผู้หญิงและวัยรุ่น บุหรี่เติมกาแฟและสารชูกำลัง สำหรับผู้ชื่นชอบกีฬาและกิจกรรมท้าทาย ซึ่งล้วนเป็นการโฆษณาชวนเชื่อทั้งสิ้น
"ล่า สุด มีบุหรี่แปลงร่างในรูปแบบใหม่ทดแทนบุหรี่ที่ไม่ต้องจุดใบยาสูบ แต่นำพาสารเสพติดสำคัญจากบุหรี่คือนิโคตินสู่ร่างกายในรูปต่างๆ เช่น น้ำดื่มนิโคติน ซึ่งเป็นสารนิโคตินละลายน้ำปรุงรสให้มีรสชาติน่าดื่ม สำหรับดื่มให้ฤทธิ์ทดแทนการสูบบุหรี่ รวมทั้งบุหรี่ไฟฟ้าที่อยู่ในรูปแบบมวนบุหรี่ แต่ใช้แบตเตอรี่จุดให้ความร้อนในการแปรสภาพแท่งนิโคตินสู่ร่างกาย" ทพญ.วิกุลกล่าว
ทั้ง นี้ ข้อมูลจากเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าระบุว่า มีผู้บริโภครายงานว่าเกิดปัญหาการระคายเคืองในช่องปากจากสารเคมี และล่าสุด องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (เอฟดีเอ) ประกาศว่า บุหรี่ไฟฟ้าไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค โดยพบสารที่ก่ออันตรายต่อชีวิต และได้มีการอายัดบุหรี่ไฟฟ้าที่นำเข้ามาทางเรือแล้วในหลายประเทศ
ดร.กิตติ กันภัย อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า สิ่งที่ต้องจับตามองกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทบุหรี่ในประเทศไทย คือ การทำโฆษณา ณ จุดขาย ซึ่งในขณะนี้มีร้านที่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายบุหรี่ถึง 467,660 ร้าน ทำให้ยากต่อการสอดส่องดูแลได้ทั่วถึง อีกทั้งยังพบว่าได้มีการทำตลาดบุหรี่กับเยาวชน ด้วยการออกแบบซองให้ดึงดูดใจและยั่วยุให้เยาวชนอยากสูบบุหรี่ ผ่านการเผยแพร่ข้อความทำนองว่า การสูบบุหรี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กไม่ควรสูบ การส่งต่อเรื่องเกี่ยวกับบุหรี่ผ่านอีเมล์ โพสต์ในบล็อก และสอดแทรกในการ์ตูน เป็นต้น
ด้าน พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ประธานเครือข่ายวิชาชีพแพทย์เพื่อการควบคุมยาสูบ ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐปฏิเสธการเข้าไปมีส่วนร่วมกับงาน ดังกล่าว เพื่อเป็นการปฏิบัติตามมาตรา 5.3 ของอนุสัญญาควบคุมยาสูบ องค์การอนามัยโลก ซึ่งว่าด้วยเรื่องของการปกป้องธุรกิจยาสูบแทรกแซงนโยบายสาธารณะ และขอเรียกร้องให้เครือข่ายฯ ร่วมกันเปิดโปงกลยุทธ์ทางการค้าของบริษัทบุหรี่ให้ประชาชนได้รับทราบ และรวมพลังในการเฝ้าระวังการประชุม Tabinfo 2009 ไม่ให้มีการละเมิดกฎหมายไทย
Wednesday, 26 August 2009
อย.สั่งแบน 8ผลิตภัณฑ์ ทำหน้าพัง
ภญ.วีรวรรณ แตงแก้ว รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ว่า อย.ได้ ออกเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจาก 2 แหล่งจำหน่าย เพื่อส่งตรวจวิเคราะห์หาสารห้ามใช้ที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค พบสารปรอท และกรดเรทิโนอิก ซึ่งเป็นสารอันตรายห้ามใช้ ประกอบด้วย
1.WEIJIAO Fade-Out Day Cream (15 g)
2.Yanko Day Cream Fade-Out Cream
3.Yanko Night Cream
4.FAYLASIS WHITENING CREAM (NIGHTCREAM)
5.Gold Nary Whitening Cream Night Cream
6.Gold Nary Face out Cream Day Cream
7.Yonae Whitening Essence & Double Efficacy (ฝาสีเงิน)
8.YONAE Whitening Essence&Double Efficacy (ฝาสีทอง)
โดยผู้ผลิต และจำหน่ายเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยจะต้องโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ภญ.วีรวรรณกล่าวถึงอันตรายจากสารทั้ง 2 ชนิดว่า สารปรอทเมื่อเริ่ม ใช้จะทำให้แลดูดีขึ้นขาวขึ้น แต่เมื่อใช้ไปในระยะหนึ่งจะทำให้เกิดการแพ้ ผื่นแดง ผิวหน้าดำ ผิวบางลง เกิดพิษสะสมของสารปรอท ทำให้ทางเดินปัสสาวะและไตอักเสบ ส่วนกรดเรทิโนอิก (กรดวิตามินเอ) เมื่อเริ่มใช้จะทำให้ดูผ่องใสขึ้น แต่เมื่อใช้ไประยะหนึ่งจะทำให้หน้าแดง แสบร้อนรุนแรงเกิดการอักเสบ ผิวหน้าลอกอย่างรุนแรง และอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์
ไคโรแพรคติก อีกทางเลือกไม่ง้อยา!
เมื่อรู้ว่าภาวะ ออฟฟิศซินโดรม เกิดขึ้นได้ง่ายๆ กับหนุ่มสาวชาวออฟฟิศ ภาษาหมอสัปดาห์นี้ขอเสนอ ไคโรแพรคติค หนึ่งทางเลือกรักษาออฟฟิศซินโดรม
ย้อนไปเมื่อปี ค.ศ.1895 ที่เมืองแดฟเวิร์นพอร์ท มลรัฐโลวา สหรัฐฯ คุณหมอปาล์มเมอร์ พัฒนาศิลปะปรัชญาและวิทยาศาสตร์การแพทย์ ไคโรแพรคติก ขึ้นมา
ชื่อ ไคโรแพรคติก (Chiropractic) เป็นภาษากรีก เกิดจากการผสมกันระหว่างคำว่า Cheir และ Praktikas ได้ ความหมายว่า การรักษาด้วยมือ แพทย์ผู้รักษาจะใช้มือจัดข้อกระดูกสันหลัง และกระดูกเชิงกรานที่เคลื่อนผิดตำแหน่งให้กลับเข้าที่ โดยเน้นความสมดุลของระบบโครงสร้าง สภาวะจิต และสารเคมีต่างๆ ในร่างกาย โดยไม่ใช้ยา เข็ม หรือการผ่าตัดรักษา
สำหรับผู้ที่เข้าข่ายเป็นออฟฟิศซินโดรม มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณต่างๆ เช่น หลัง คอ ไหล่ ปวดตามข้อ ปวดศีรษะ มักมีอาการชาตามแขนและขา ซึ่งอาจเป็นเพราะการเคลื่อนไหวผิดจังหวะ หรือนั่งทำงานนานโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ ส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ หมอนรองกระดูกเคลื่อน สร้างความเจ็บปวดทรมานสะสมจนเป็นอุปสรรคในการทำงานและการใช้ชีวิต สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อขอตรวจรักษาด้วยการแพทย์แบบไคโรแพรคติกได้
takecareDD@gmail.comแง่คิด จากข่าวไมเคิล...ยาแก้ปวด
ใช้ไม่ถูกวิธีจะ 'มีภัย !' การเสียชีวิตของศิลปินนักร้องชื่อก้องโลกสัญชาติสหรัฐอเมริกา
“ไมเคิล แจ๊คสัน” นั้น สำหรับในประเทศไทยเราสื่อทุกแขนงต่างก็นำเสนอเป็นข่าวใหญ่อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับกรณีสัตว์น่ารักประจำถิ่นของจีนอย่าง แพนด้า มาลืมตาดูโลกในประเทศไทย ซึ่ง 2 ข่าวนี้ต่างก็ให้ “แง่คิด” ที่เกี่ยวกับคนไทยโดยตรงได้ อย่างเช่น...เห่อแพนด้าก็อย่าลืมสนใจ “ช้างไทย” ติดตามข่าวไมเคิลตาย...น่าจะคิดถึงภัย “ยาแก้ปวด” กับกรณี ไมเคิล แจ๊คสัน นั้น ไม่ว่าที่สุดแล้วผลชันสูตรจะบ่งชี้ว่าเขาต้องจากโลกนี้ไปด้วยสาเหตุอะไรแน่ แต่จากรายงานข่าว...ช่วงชีวิตบั้นปลาย ของเขาดูจะเกี่ยวข้องกับ “ยา” จำนวนมาก ซึ่งก็มี “ยาแก้ปวด” รวม อยู่ด้วย ที่สำคัญ...มีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับผลจากยาแก้ปวดด้วย แม้ว่าจริง ๆ แล้วอาจจะไม่เกี่ยว ?!? ทั้งนี้ แม้คนไทยทั่วไปจะคุ้นเคยกับยาแก้ปวดดี แต่กระนั้น ยาก็คือยา...ไม่ใช่อะไรที่ใช้-ที่กินยังไงก็ได้ !!
ซึ่งจากข้อมูลเกี่ยวกับยาแก้ปวด จากบทความของ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย เภสัชกรสุรชัย อัญเชิญ ในเว็บไซต์ www.pharm.chula.ac.th ก็ มีแง่มุมที่คนไทยควรจะได้ตระหนัก เภสัชกรสุรชัยระบุไว้ว่า... ยาแก้ปวดที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ... “ยาแก้ปวดชนิดเสพติด” และ “ยาแก้ปวด ชนิดไม่เสพติด” ซึ่งแต่ละชนิดก็มีผลดี-ผลเสียที่แตกต่างกัน สำหรับยาแก้ปวดชนิดเสพติด เป็นยาแก้ปวดที่มีฤทธิ์ระงับปวดสูง แต่ไม่มีฤทธิ์ลดไข้ ยาประเภทนี้ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ในการซื้อ จึงมักใช้กับคนไข้ในโรงพยาบาลหรือคลินิกเป็นส่วนใหญ่ โดยตัวยาเป็นสารจาก ฝิ่น และสารที่มี ฤทธิ์คล้ายฝิ่น ได้แก่ มอร์ฟีน เมเปอริดีน เมธาโดน โคเดอีน เลโวโปรพรอก ไซฟีน เพนตาโซซีน ยากลุ่มนี้ใช้เป็นยาเดี่ยวเพื่อระงับปวดที่รุนแรงปานกลางจน ถึงรุนแรงมาก ที่เกิดขึ้นที่กล้ามเนื้อเรียบ อวัยวะภายใน และกระดูก หรือใช้เป็นยาเสริมกับยาแก้ปวดชนิดไม่เสพติดเพื่อระงับอาการปวดที่รุนแรง ปานกลาง ยาประเภทนี้ทำให้ผู้ใช้เกิดการ “ชินยา-ติดยา” ได้ ส่วนยาแก้ปวดชนิดไม่เสพติด เป็นยาที่มีฤทธิ์ระงับปวดต่ำ แต่มีฤทธิ์ลดไข้ด้วย ได้แก่... ยาแก้ปวด-ลดไข้ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (NSAID) ด้วย เช่น แอสไพริน ไอบูโปรเฟน ไดฟลูนิซาล เมเฟนามิคเอซิด นาพรอกเซน ซูลินแดค พิรอกซิแคม เป็นต้น, ยาแก้ปวด-ลดไข้ที่ไม่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ คือ พาราเซตามอล ยาประเภทนี้ใช้ระงับอาการปวดที่รุนแรงน้อยจนถึง ปานกลางของกล้ามเนื้อลาย เอ็น ข้อต่อ ปวดศีรษะ ปวดฟัน
ยาประเภทนี้ไม่ทำให้เกิดการติดยา แต่ “ก็ต้องระวัง” ย้อนกลับไปที่ยาแก้ปวดชนิดเสพติด ซึ่งใช้บรรเทาอาการปวดที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน และปวดรุนแรง เช่น ปวดเกร็งกล้ามเนื้อเรียบ ปวดกระดูก ยาประเภทนี้มีทั้งชนิดยากินเมื่อต้องใช้ต่อเนื่อง และ “ยาฉีด” อย่าง ที่เราได้ทราบจากข่าวของ ไมเคิล แจ๊คสัน โดยยาแก้ปวดแบบฉีดนี้จะใช้เมื่อต้องการเห็นผลรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ยาแก้ปวดชนิดเสพติดโดยทั่วไปจะมี “ผลเสีย”อาทิ... กดการหายใจ มีผลทำให้ผู้ป่วยหายใจอ่อน ช้า และมีผลเสียอย่างมากกับผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจอุดกั้น เช่น หอบหืด, กดระบบภูมิคุ้มกัน (ผู้เสพติดฝิ่นจึงมีโอกาสเป็นโรคต่าง ๆ ได้ง่าย เช่น โรคติดเชื้อ โรคเอดส์), ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน โดยเฉพาะในระยะแรกของการใช้ยา แต่ต่อไปอาจชินยา ทั้งนี้ โดยทั่วไปจะไม่ใช้ยาแก้ปวดชนิดนี้กับอาการปวดเรื้อรังซึ่งต้องใช้ยาต่อ เนื่องระยะยาว เนื่องจากปัญหาติดยา เว้นแต่กรณีจำเป็นต้องใช้ เช่น อาการปวดของผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ซึ่งจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ไม่นาน การติดยาจึงเป็นประเด็นปลีกย่อย กับยาแก้ปวดชนิดไม่เสพติด ที่ใช้กับอาการปวดที่มีไข้ร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะจากไข้หวัดหรือติดเชื้อ ปวดจากกล้ามเนื้ออักเสบ ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อยคือ แก้ปวด-ลดไข้ กับ แก้ปวด-ลดไข้-ต้านการอักเสบ ถ้าเป็นแบบต้านอักเสบด้วย ซึ่งยาที่เป็นแม่แบบคือ แอสไพริน ผลเสียก็มีอาทิ... ระคายเคืองทางเดินอาหารและลดความต้านทานของผนังกระเพาะและลำไส้ ทำให้ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เลือดออก และเป็นแผลในทางเดินอาหาร หากมีการใช้ขนาดสูงเป็นเวลานาน จึงห้ามใช้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคแผลในทางเดิน อาหารอยู่แล้ว, ผลพิษของแอสไพริน ทำให้เกิดอาการหูมีเสียงกริ่ง ไม่ได้ยินเสียง วิงเวียน, การใช้ยาเกินขนาด ทำให้อาเจียนอย่างหนัก หายใจถี่แรง ต้อง แก้ไขโดยการล้างท้อง, อาจมีผลพิษต่อไตและตับ ในระยะยาว
และกับยาแก้ปวดชนิดไม่เสพติด แบบแก้ปวด-ลดไข้ ซึ่ง พาราเซตามอล คือยาในกลุ่มนี้ที่รู้จักกันดี คือยาที่คนไทยใช้กันทั่วไป ก็มี “ผลเสีย” ได้ กล่าวคือ... การใช้ยาขนาดสูง หรือติดต่อกันระยะยาว อาจทำให้เกิดผลพิษต่อตับอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยทำให้เซลล์ตับตาย ตับเสื่อมสภาพ ทั้งนี้ โดยปกติยาส่วนหนึ่งจะถูกตับเปลี่ยนเป็นสารพิษ ซึ่งตับเองจะใช้สารป้องกันตัวเองที่มีอยู่กำจัดสารพิษดังกล่าวได้ แต่หากใช้ยาอย่างต่อเนื่องไป นาน ๆ สารป้องกันนั้นจะถูกใช้จนหมด จึงไม่สามารถกำจัดสารพิษได้ จนมี ผลเสียต่อตับ ดังนั้น เภสัชกรสุรชัย จึงเตือนไว้ว่า... การใช้ยาแก้ปวดกลุ่มนี้ต้องระวังเรื่องผลพิษที่รุนแรงต่อตับจากการใช้ต่อ เนื่อง ไม่ควรกินยานี้ในขนาดสูง กว่าครั้งละ 1,000 มก. (2 เม็ด) หรือเกินวันละ 6,000 มก. (12 เม็ด), ไม่ควรใช้ยาติดต่อกันนานกว่า 7 วัน, ไม่ควรใช้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคต่าง ๆ เกี่ยว กับตับ ก็เป็น “แง่คิด” ได้อีกเรื่องหนึ่ง...จากข่าว “ไมเคิล แจ๊คสัน” “ยาแก้ปวด” ที่ช่วยให้หายปวด “ใช้ไม่ถูกวิธีจะมีภัย !!”.สำรวจ ยา ต้องเลี่ยง ช่วงแม่ท้อง
อ่านก่อนใช้ยา
วิจัยเผย คนไทยใช้ยาพร่ำเพรื่อ ผิดประเภท บริษัทยาตัวการหลัก ส่งผลเกิดภาวะดื้อยา-อาการข้างเคียง นักวิชาการชี้พึ่งตนเองไม่ใช่แค่ซื้อยากินเอง
ความเสี่ยงของคนยุคใหม่ในการพึ่งตัวเองเกี่ยวกับสุขภาพกลายเป็นดาบสองคม ที่ข้อมูลการศึกษาจากฝ่ายแผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่นำเสนอในงานประชุมวิชาการเพื่อพัฒนาระบบยาประจำปี 2552 เมื่อวันที่ 3-4 สิงหาคมที่ผ่านมา มีหลายประเด็นปัญหา รวมถึงการส่งเสริมการขายยา ซึ่งมีกรณีศึกษาบทบาทบริษัทยาในการให้ข้อมูลโรคและยากับประชาชนว่า บริษัทมีบทบาทสูงและทำอย่างซับซ้อน ส่งผลต่อการบริโภคยาอย่างไม่เหมาะสม
ลองมาดูสถานการณ์การใช้ยาอย่างคร่าวๆ ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา
เดือนมีนาคม ปี 2551 สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ได้เปิดเผยผลการศึกษาที่ชี้ว่า คนไทยใช้ยาเกินความจำเป็น และส่งผลให้เกิดภาวะดื้อยา โดยเฉพาะ ยาปฏิชีวะ (ยาฆ่าเชื้อ) ที่ใช้ในสัดส่วนสูงสุดในปริมาณการใช้ยาทั้งหมดของประเทศไทย และยังมีการใช้ยาอย่างพร่ำเพรื่อ นั่นคือใช้ยารักษาผิดอาการ ซึ่งจะทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรง
ยกตัวอย่าง ยาเพนิซิลิน ที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แต่กลับถูกใช้ในการรักษาคอเจ็บ เป็นตุ่ม ซึ่งไม่ถูกต้อง และการใช้ที่ออกฤทธิ์กว้างๆ สำหรับโรคที่จำเป็นต้องใช้ยาออกฤทธิ์จำเพาะ จึงทำให้ยาสั่งสมในร่างกายมากเกินไป ยังผลให้เกิดการดื้อยา
ในสถานการณ์นี้ ทางคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อ.ย. ได้เปิดโครงการนำร่องเพื่อการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล Antibiotics Smart Use เริ่มจากพื้นที่จังหวัดสระบุรี ตั้งแต่ปี 2550 และมีแผนจะขยายไปทั่วประเทศ (อ้างอิงจาก นสพ.กรุงเทพธุรกิจ.หน้า 11 ฉบับวันที่ 20 มีนาคม 2551)
การใช้ยาปฏิชีวนะของคนไทย ตามข้อมูลของบริษัท ไอเอ็มเอส เฮลท์ ผู้ทำข้อมูลตลาดยาทั่วโลก เปิดเผยเมื่อเดือนมีนาคมปี 2552 ยังเป็นอันดับ 1 คิดเป็น 18 เปอร์เซ็นต์ของยาทุกประเภท
เดือนมีนาคม ปี 2552 สมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ (พรีม่า) ได้เสนอให้มีถอดยาแก้ปวดหัวและยาโรคพื้นฐาน เช่น ยาแก้ปวดพาราเซตามอล ยาแก้ไอ ออกจากบัญชียาหลักแห่งชาติ โดยให้เหตุผลว่า การเจ็บป่วยเล็กน้อย ประชาชนควรจะมีสิทธิเลือกซื้อยาตามกำลังจ่าย และไม่จำเป็นต้องพึ่งบริการหมอตลอดเวลา และ เพื่อลดการใช้ยาฟุ่มเฟือย และถือเป็นการเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อยไม่เป็นการเพิ่มภาระให้แพทย์โดยไม่จำ เป็น อีกทั้งทำให้ประชาชนมีสิทธิเลือกยา โดยสามารถนำใบสั่งยาจากแพทย์ไปซื้อได้ตามร้านขายยาที่มีคุณภาพ แม้ว่ายาจะแพงขึ้น แต่ก็เป็นยาที่ประชาชนมั่นใจในคุณภาพและพร้อมที่จะร่วมจ่าย (ข้อมูลจากเว็บไซต์ มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค www.consumerthai.org)
ซื้อยาเอง พึ่งตัวเองหรือโดนหลอก
การซื้อยากินเองของคนไทย (จากรายงานการสังเคราะหองค์ความรู้เพื่อการปฏิรูประบบสุขภาพและข้อเสนอสาระ บัญญัติในราง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติเรื่อง การพัฒนาศักยภาพในการดูแลสุขภาพตนเอง/ครอบครัว/ชุมชน โดยแหล่งข้อมูลงานวิจัย ทางเว็บไซต์สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข) พบว่าคนไทยที่มีฐานะยากจนจะซื้อยากินเองมากกว่าคนมีฐานะดี และยาที่ซื้อกินเองมากที่สุด คือ อาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ได้แก่ อาการปวดศีรษะ เป็นไข้ ไข้หวัด ไอ ปวดท้อง กระเพาะอาหาร และอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ชนิดของยาที่พบว่าชาวบ้านนิยมซื้อ คือ กลุ่มยาแกปวดลดไข กลุ่มยาโรคทางเดินอาหาร และยารักษาโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
"การพึ่งตนเอง หมายถึงการให้ไปซื้อยากินเองเท่านั้นหรือเปล่า คงไม่ใช่ โดยเฉพาะข้อควรระวังว่า ประเด็นนี้ จะเป็นช่องว่างให้บริษัทขายยาเข้ามาแทรกหาประโยชน์ได้" ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี แผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็น
"มันน่าสนใจว่า ปัญหาสำคัญของผู้บริโภคคือเขาจะได้ข้อมูล ที่ไม่ใช่การโฆษณาจากทางไหนๆ ซึ่งทาง อ.ย.ก็มีการจัดทำข้อมูลยาสู่ผู้บริโภค ซึ่งอันนี้ทางสหรัฐฯ เขาได้ทำแล้ว มันเป็นการส่งสารด้านสุขภาพให้คนได้รู้จักรู้จริง"
ผศ.ภญ.ดร.นิยดา ชี้ว่า การดูแลตัวเองกับการใช้ยา ในวันนี้อาจจะโทษแค่ระบบล้มเหลวอย่างเดียวไม่ได้ การพึ่งตัวเองของผู้บริโภคต้องเรียนรู้มากขึ้นว่าการดูแล โดยทั้งการใช้ยาและไม่ใช้ยานั้น ก็จำเป็นอย่างมากเช่นกัน
ปัญหาเกี่ยวกับการใช้ยาผิดประเภท และพร่ำเพรื่อที่ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง จากงานวิจัยที่พบในปัจจุบันยังคงเกี่ยวเนื่องกับ ความเชื่อ วัฒนธรรมเฉพาะถิ่น ปัจจัยเรื่องความไม่รู้ในการใช้ยา และการกระตุ้นจากแหล่งข้อมูลที่บอกความจริงครึ่งเดียว (โฆษณา) โดยร้านยายอมรับว่า การโฆษณามีผลกระตุ้นให้คนซื้อยาอย่างเห็นได้ชัด
"มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรค อย่างชาวบ้านปวดหลัง (จากการทำงาน) ฝืนกล้ามเนื้ออยู่เป็นเวลานาน จากการดำนา แต่เขาจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นโรคไต เพราะโรคไตก็ปวดหลัง 90 เปอร์เซ็นต์ของคนปวดหลังมาซื้อยาโรคไต บางทีเภสัชกรก็ต้องใช้วิธีประนีประนอม ให้ยาไตไปด้วยให้ยาคลายกล้ามเนื้อไปด้วย ซึ่งคิดว่ายาไตเป็นผลมาจากแรงโฆษณา แม้ปัจจุบันแต่จะมีกฎหมายควบคุมเนื้อหาโฆษณายา ไม่ให้อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ก็ยังมีการฝ่าฝืน
ที่สำคัญ คือ ยังมีการใช้ยาเกินจำเป็น คือ ใช้ยาผิด และ คิดว่าเป็นว่าโรคตัวเอง เช่น ดูโฆษณายาบรรเทาอาการข้อเสื่อม (โดยที่ตัวเองไม่ได้เป็น) ก็มาหาซื้อยานี้โดยไม่จำเป็น" เอกไชย พรรณเชษฐ์ บัณฑิตเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เจ้าของร้านขายยา อรุณเภสัช อ.โพทะเล จ.พิจิตร เปิดเผย
เอกไชยยังเปรียบเทียบสถานการณ์ของร้านยาของเขาในปัจจุบันกับอดีต ในกลุ่มผู้ซื้อที่เป็นชาวบ้านไว้ว่า
"ชาวบ้านยังมีความรู้ไม่ค่อยมาก จริงๆ ไม่ว่าจะสมัยก่อนหรือตอนนี้ คือ เดินเข้ามาให้รักษาอาการที่ตัวเองเป็น ให้ทางร้านจัดยา วินิจฉัยโรคให้ แต่ปัจจุบัน การดูแลตัวเองขั้นพื้นฐาน ส่วนหนึ่งมาจากอิทธิพลโฆษณา ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะยาแก้ปวดหลัง ปวดข้อ แต่ความรู้เกี่ยวกับโรคพื้นฐานยังจำกัด ส่วนคนมีการศึกษา ก็เข้ามาขอคำปรึกษาและให้ร้านจัดยาให้ แต่มีความรู้เรื่องข้อควรระวังและการใช้ยาดีกว่า เช่น ใส่ใจถามผลข้างเคียง และยอมรับการใช้ยาให้ครบขนาด เพราะได้ความรู้ว่าถ้ากินไม่ครบ เชื้ออาจดื้อยา แต่ในแง่ความรู้พื้นฐาน เรื่องโรค ไม่ได้มีมากกว่าชาวบ้าน"
คำแนะนำของฝ่ายทำงานเฝ้าระวังเรื่องยา อย่าง ผศ.ภญ.ดร.นิยดา กล่าวว่า
"สำหรับผู้บริโภค เขาก็ไม่รู้ว่า message ข้อมูลยาเหล่านี้ปลอดภัยแค่ไหน จะต้องผ่านการ approved จากใคร ก็คงบอกได้แค่ว่า ต้องใช้หลักกาลามสูตรล่ะ ง่ายๆ คือ ข่าวสารอะไรที่มาจากภาคธุรกิจ เราควรจะเชื่อแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะยา เบื้องต้นก็คงต้องบอกซ้ำว่า กินยาทุกตัวต้องรู้ชื่อตัวยา ชื่อสามัญของยา ต้องรู้ผลข้างเคียง รู้ขนาดยา ว่าเรากินไปเท่าไร รู้ว่าโฆษณาถ้ามันขัดแย้งกับผลการใช้จริง เราจะไปร้องเรียนที่ไหนได้บ้าง"
โดย ผศ.ภญ.ดร.นิยดา ย้ำว่า พฤติกรรมไม่ใช่เรื่องแก้ง่ายๆ จำเป็นต้องใช้ทั้งการให้การศึกษา (ข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจ) บวกกับการควบคุมบังคับใช้กฎหมายควบคู่กันไป รวมถึงการเชื่อมโยงการศึกษา เชิงสังคมวัฒนธรรม และนโยบายการบริการด้านสุขภาพ การส่งเสริมสุขภาพหรือ Health Promotion ในการดูแลตัวเองเบื้องต้น
ย้ำ..."ในการดูแลตัวเองเบื้องต้น" ซึ่ง ผศ.ภญ.ดร.นิยดาบอกว่า
"น่าจะเป็นสิ่งที่ลงมือทำแล้วให้มันเห็นผลได้..มากที่สุด"
ด้วยรักและห่วงใยจาก 'ร้านขายยา'
ร้านขายยามีข้อสังเกตและคำแนะนำในการใช้ยาระดับสามัญประจำบ้าน ที่ได้รับอนุญาตให้มีการซื้อขายทั่วไป ไว้หลายประเด็น
ประสบการณ์จากร้านยา หมวยเภสัช ถนนสามเสน เขตพระนคร กรุงเทพฯ ให้ข้อคิด โดยเฉพาะเรื่องความเข้าใจผิด ในการใช้ยาผิดสรรพคุณ และเกินขนาด โดยผู้บริโภคหลายคนยังเพิกเฉยและใช้ยาตามอำเภอใจ ซึ่งในความเห็นของเภสัชกร ถือว่า เป็นการใช้ยาเพื่อสนองตอบความพอใจ มากกว่าการใช้ยาเพื่อเยียวยาสภาพร่างกายตามความจำเป็น
-แพ้ยาใดโปรดระบุ
"เราจะถามประวัติการแพ้ยา และโรคประจำตัว ต้องดูว่าคนซื้อจำเป็นต้องใช้ยาเท่าไหร่ บางคนไม่จำเป็นต้องใช้เยอะ เราจะต้องถามคนซื้อเยอะๆ ให้ได้รายละเอียด ซึ่งคนรุ่นใหม่จะไม่มีปัญหา แต่คนแก่ๆ ก็อาจจะยังติดอยู่กับความคุ้นเคยเดิมๆ ซึ่ง จริงๆ การที่คนไปซื้อยา รู้จักชื่อตัวยาชัดเจน(ไม่ใช่ยี่ห้อยา) ก็จะดี เพราะถ้าเกิดแพ้ยาขึ้นมาจะรู้ได้ว่าตัวเองแพ้ยาอะไร ส่วนใหญ่ลูกค้าร้านเภสัชจะเป็นคนที่มีลูก เพราะเภสัชกรจะช่วยแนะนำ ให้คนซื้อรู้ว่า dose (ขนาด)ในการใช้ยากับแต่ละคนควรจะแค่ไหน และจะระวังมาก ไม่จ่ายยาซี้ซั้ว" เจ้าของร้านยา หมวยเภสัช เผยพฤติกรรมลูกค้า
- หน้าที่ของเภสัชกร แค่ขายยาไม่พอ
ในร้านขายยา นอกจากการสอบถามราคาและยี่ห้อยาแล้ว การเจรจายืดเยื้อถึงสรรพคุณและวิธีการใช้ยาที่ถูกต้อง ทั้งจากฝ่ายผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งเภสัชกรรายนี้เล่าประสบการณ์จากลูกค้าที่เจอบ่อยๆ ว่า
"พวกเป็นหวัดธรรมดา ปวดฟัน ผื่นคัน เชื้อราบนหนังศีรษะ หรือท้องเสีย จะใช้ยาพื้นๆ ได้ แต่ถ้าลูกค้าที่เป็นเรื้อรังมานาน เช่น ไอมานานจนหอบ เราจะแนะนำให้ไปหาหมอ ต้องเจอหมอ หรือไข้สูงติดต่อกันยี่สิบสี่ชั่วโมง ช่วงนี้ก็ต้องระวังมากหน่อย เขาต้องไปตรวจกับหมอ บางทีก็ต้องแนะนำลูกค้าด้วยว่า เมื่อไรที่เขาควรไปหาหมอ เช่น โดนไม้ทิ่มเป็นแผลมา เขาจะแค่ซื้อยาทาแผลไปใช้เอง ไม่พอหรอก ต้องบอกให้เขาไปหาหมอฉีดยาป้องกันบาดทะยักด้วย หรือโดนหมากัด แมวกัด แค่ยาทาแผลไม่พอ ต้องไปฉีดวัคซีนด้วย เพราะอาจจะถึงแก่ชีวิตได้"
-ผู้ซื้อพึงระวัง
"คนสูงอายุมากๆ 70-80 ปี บางทีเภสัชกรตามร้านขายยาจะไม่ค่อยรับ (ไม่ขายยาให้) เพราะการใช้ยากับคนวัยนี้ต้องระมัดระวังมาก คนวัยนี้จะมีความไวต่อยามาก ยาแค่ 1 เม็ดก็อันตรายได้ ต้องคำนวณยาให้ตรงกับสภาพร่างกายเขาจริงๆ เช่นเดียวกับกรณีเด็กอ่อน ต่ำกว่า 6 เดือน ร้านยาปกติจะไม่จ่ายให้ เพราะต้องระวังมาก จ่ายได้แค่ยาลดไข้เท่านั้น และประวัติการแพ้ยาของเด็กเล็กยังไม่มี การจ่ายยาให้เหมาะสมก็ลำบาก
-ความรู้เรื่องยา
อยากให้คนรู้จักยาสามัญประจำบ้านก่อน เพราะเวลาเกิดเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ตอนกลางคืน จะสามารถบรรเทาได้ เช่น ยาธาตุ ยาทาแก้ปวด หรือยาลดกรด และการปฐมพยาบาลพื้นฐาน ตัวอย่างที่เคยเจอ บางคนโดนมีดบาด ไม่รู้ว่าต้องอุดแผลห้ามเลือดก่อน แต่ปล่อยหรือบีบให้เลือดออกจากแผล และห้ามโดนน้ำ เพราะมันจะติดเชื้อง่าย แต่ก็พบลูกค้าที่ไม่รู้บ่อยมาก
คิดว่าสาธารณสุขน่าจะให้ความรู้พื้นฐานตรงนี้มากๆ บอกซ้ำๆ บ่อยๆ ให้เป็นความเคยชินไปเลย
ส่วนยาป้องกันไวรัสหรือพวกยาที่ใช้กับโรคไข้หวัดที่กำลังกลัวกัน มีคนมาถามที่ร้านขายยา แต่ยาเหล่านี้เป็นยาควบคุมอยู่แล้ว ต้องไปหาหมอก่อน และจ่ายยาเฉพาะที่โรงพยาบาลเท่านั้น
อย่าดื้อ (ดึง) ซื้อยา
เภสัชกรจากร้าน หมวยเภสัช แนะนำเรื่องการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม และมีความเสี่ยงที่จะเป็นภัยต่อผู้ใช้ยาเองหรือไม่นั้น โปรดพิจารณาข้อเสนอแนะดังนี้
-ยาพาราเซตามอล
คำเตือน : สรรพคุณเป็นยาแก้ปวดจากอาการไข้ แต่ไม่ใช่ยา "ป้องกันหวัด" และไม่ควรกินติดต่อกันนานเกิน 5 วัน อาจจะส่งผลข้างเคียงไม่ดีต่อตับ
แต่มีกรณีจากร้านยาเล่าว่า "บางคนมาซื้อยาพาราฯ (ยี่ห้อใดก็ได้) เพื่อกินกันหวัด และบอกว่าใช้แก้ปวดเมื่อย อันนี้เราจะพยายามบอกเขาว่าไม่ใช่นะ มันไม่ได้มีผลป้องกันหวัด และไม่ได้มีผลแก้เมื่อย บอกจนเขาไม่มาซื้อเราอีก แต่เขาก็ไปหาซื้อตามร้านสะดวกซื้อเองอยู่ดี"
-ยาแก้ปวด กรณีปวดฟัน
คำเตือน : ปวดฟันควรไปพบหมอฟัน เพราะยาแก้ปวดจะช่วยบรรเทาอาการปวดชั่วคราว ไม่หายขาด
"บางคนปวดฟัน คิดว่าแค่ใช้ยาแก้ปวดก็หาย จริงๆ ไม่ใช่ มันจะต้องไปซ่อมฟัน และคนที่ซ่อมได้คือหมอฟัน ไม่ใช่ทายากินยาแล้วจบ"
-ยาแก้แพ้ -ลดน้ำมูก
คำเตือน : ไม่ควรรับประทานในช่วงเวลาทำงานกับเครื่องจักรหรือขับรถ เพราะยามีฤทธิ์ง่วง
กรณีที่เจอ "ที่ร้านจะแนะนำให้ลูกค้าทานยาประเภทนี้ในเวลาก่อนนอน หรือกลางวันที่ไม่มีกิจกรรมเสี่ยงภัย เพราะฤทธิ์ยาจะทำให้ง่วงหรือหลับในได้ทันที แต่ก็มีคนซื้อยาที่รวมสรรพคุณแก้แพ้ลดไข้ ไปกินแทนยานอนหลับ ซึ่งเป็นการใช้ยาผิดวัตถุประสงค์ อันตรายมาก"
-ยาระบาย
คำเตือน : ใช้เฉพาะจำเป็น ไม่ควรใช้ให้เป็นชีวิตประจำวัน
"คนที่ใช้ยาระบายเจอหลายคนที่มุ่งใช้เพื่อหวังจะลดน้ำหนัก โดยไม่รู้ตัวว่า ยาระบายจะทำให้ลำไส้ทำงานผิดปกติ เมื่อมันชินกับการใช้ยาแล้ว ต่อไปลำไส้จะไม่ยอมระบายต้องใช้ยาเท่านั้น ความจริงต้องกินอาหารมีกากใยจะช่วยระบายตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่บางคนที่ใช้ยาระบายจะไม่สนใจตรงนี้ ตะบี้ตะบันกินอย่างเดียว หลายอย่างอยู่ใกล้ตัวมาก เช่น ชาสมุนไพร ตามร้านสะดวกซื้อซึ่งไม่ควรใช้เป็นประจำ"
-ไข้หวัดไม่ต้องกินยา
คำเตือน : ไข้หวัดธรรมดาไม่มีอาการที่เข้าข่ายควรสงสัย แค่พักผ่อนก็หายได้
"แต่คนไข้มักไม่เชื่อ ไปหาหมอคนที่หนึ่ง ให้ยามาทาน 3 วัน อาการไม่ดี เปลี่ยนไปหาหมอคนที่สอง อาการดีขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่หาย พอไปหาหมอคนที่สาม หาย ก็เชื่อว่าหมอคนนี้เก่ง ทั้งๆ ที่หายเองตามธรรมชาติ โดยสรุป คนซื้อยา ยังไม่ค่อยเชื่อมั่นว่าตัวเองจะดูแลตัวเองได้ในระดับพื้นฐาน" ข้อมูลนี้จากเอกไชย
พิจารณาจากตัวอย่างเหล่านี้ คุณเป็นหนึ่งในนั้นหรือเปล่า ถ้าใช่ เภสัชกรจากร้านยา ฝากบอกว่า "โปรดปรับปรุงตัวด่วน"โดย นสพ.กรุงเทพธุรกิจ
Monday, 17 August 2009
บริหารคอ เพิ่มพลัง บรรเทาปวด
ระวัง! นอนไม่พอเสี่ยงเป็นเบาหวานเพิ่มขึ้น
คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐ เสนอผลการศึกษาล่าสุด พบว่า การนอนมีผลต่อความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน โดยเฉพาะคนที่นอนน้อยในเวลากลางคืน ประกอบกับไม่ออกกำลังกายและรับประทานอาหารมากเกินพอดี อาจยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเป็นเบาหวานมากขึ้น
นายแพทย์พลาเมน เปเนฟ นักวิจัยอาวุโสของมหาวิทยาลัยชิคาโกและคณะทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างเพศชายและ หญิงวัยกลางคน จำนวน 11 คนที่มีสุขภาพดี แต่ไม่ออกกำลังกาย ผู้วิจัยได้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ทำการเก็บข้อมูลนาน 14 วัน โดยให้พวกเขาเหล่านี้เอาแต่นั่งๆ นอนๆ และทานอาหารได้อย่างเต็มที่ ส่วนการนอนก็ให้นอนคืนละ 5 ชั่วโมงครึ่ง และ 8 ชั่วโมงครึ่ง
สิ่งที่พบคือ ผู้ใหญ่ที่มีเวลานอนลดลงจาก 8 ชั่วโมงครึ่งเหลือ 5 ชั่วโมงครึ่ง จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ต่อการตอบสนองการตรวจสอบน้ำตาล ซึ่งเป็นลักษณะที่คล้ายคลึงกับคนที่กำลังมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการเป็นเบา หวาน
หากผลการวิจัยนี้ได้รับคำยืนยันจากการศึกษากับกลุ่มตัวอย่างที่มากขึ้น ก็จะเป็นสิ่งบ่งชี้อีกอย่างหนึ่งว่า การนอนหลับอย่างเพียงพอมีความสำคัญต่อการหลีกเลี่ยงโรคเบาหวานได้พอๆ กับการทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและออกกำลังกายอยู่เป็นประจำโดย mcot.net
10ท่ากระชับสัดส่วนสวย
สาว ๆ วัยทำงานที่รู้สึกว่าตัวเองคือมนุษย์เงินเดือน ต่างก็ทุ่มเทเวลาให้กับการทำงาน หลังเลิกงานก็ตรงกลับบ้าน และเลือกที่จะดูแลตนเองเพียงแค่ควบคุมอาหารการกิน ดูแลผิวพรรณ และนอนหลับพักผ่อน เพราะหลายคนรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะไปออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอ
หากไม่ยืดเส้น ยืดสาย ขยับแขนขากันบ้าง ระวังสัดส่วนจะไม่กระชับดั่งใจ และอาจจะต้องทนเมื่อยล้ากล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ เพราะฉะนั้น ลองหันมาออกกำลังกายในท่าง่าย ๆ ทำได้ที่บ้านทั้ง 10 ท่า ต่อไปนี้...
1.บริหารต้นขาและสะโพก ด้วยการนอนตะแคงข้าง ยกขาข้างหนึ่งขึ้น-ลง และสลับทำอีกข้าง
2.บริหารหน้าท้องและต้นขา ให้นอนหงาย ชันเข่าขึ้น ก่อนยกศีรษะไปทางด้านขวาพร้อมยกขาขวา หากยกศีรษะไปทางด้านซ้าย ก็ให้ยกขาซ้าย
3.บริหารช่วงเอว ยืนตรงแยกขาทั้งสองข้างห่างพอประมาณ จากนั้นยกแขนให้มือทั้งสองข้างประสานกันโดยหงายฝ่ามือออก และเอียงตัวไปด้านข้างสลับกันไปมา
4.บริหารแผ่นหลัง ช่วงหน้าอก และต้นขา ยกแขน และขาทั้งสองข้างขึ้น-ลงพร้อม ๆ กัน
5.บริหารต้นขา และหน้าท้อง ให้นอนราบ วางแขนสองสองข้างแนบลำตัว ยกขาทั้งสองข้างขึ้น-ลง
6.บริหารหน้าขา นอนราบกับพื้น แขนสองข้างวางแนบลำตัว ยกขาเตะสลับ สองจังหวะ
7.บริหารต้นขา ยืนตรง แยกปลายเท้าห่างพอสมควร มือสองข้างจับช่วงเอว แล้วยอตัวขึ้น-ลง
8.บริหารคอ ยืนตรง แขนแนวลำตัว หันศีรษะและลำตัวไปด้านซ้ายสลับขวา
9.บริหารสะโพก ให้คว่ำหน้าลงพื้น ชันศอกและเข่า ยกขาเหยียดตรงออกนอกลำตัวไปทางด้านหลังสลับขาซ้าย-ขวา
10.บริหารต้นขาและสะโพก ด้วยการนอนราบลงกับพื้น วางแขนชิดลำตัว ยกขาทั้งสองข้างพร้อมกันในลักษณะงอเข่า พยามให้หน้าขาชิดถึงบริเวณหน้าท้อง
บริหารร่างกายด้วยท่าข้างต้นเป็นประจำ จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อ แถมยังช่วยกระชับสัดส่วนได้ดี เหมาะกับสาว ๆ ที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายอย่างจริงจัง ...วันนี้ กลับถึงบ้านแล้วลองทำดู.
รูปภาพจาก Getty Imagesสวยสั่งได้ ด้วยโยคะ
การฝึกโยคะมีผลต่อจิตของกายในทุกๆ ด้าน เช่น ด้านร่างกาย โดยผ่อนคลาย รักษา และสร้างความแข็งแรง ยืดเส้นยืดสายระบบกระดูก กล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อหัวใจ ระบบการย่อยอาหาร ต่อมต่างๆ ในร่างกาย และระบบประสาท ผลทางด้านจิตใจ จะเกิดผ่านการสร้างจิตใจที่สงบ ความตื่นตัวและสมาธิ ผลทางด้านจิตวิญญาณ คือ การเตรียมพร้อม สำหรับการทำสมาธิ และสร้างความแข็งแกร่งจาก "ภายใน"
ท่าง่ายๆ สำหรับช่วงเวลาที่เร่งรีบ โยคะไม่จำเป็นต้องไปทำตามสถานโยคะเสมอไป เรามีโยคะง่ายๆ ที่คุณสามารถทำเองได้ ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน
งั้นเรามาเริ่มรู้จักท่าง่ายๆ สำหรับเรากันเลยค่ะ
1. นวดหลัง นอนหงายราบกับพื้น งอหัวเข่าทั้งสองข้างเข้ามาชิดหน้าอก และใช้มือทั้งสองข้างกอดเข่าไว้ พลิกตัวไปข้างซ้ายและขวาสลับกัน จากนั้นโยกตัวไปข้างหน้าและหลัง
2. หายใจ นั่งขัดสมาธิ หลับตา ค่อยๆ หายใจเข้าออกลึกๆ นั่งสงบเช่นนี้ประมาณ 5 นาที จะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดได้
3. ทำตัวให้อ่อน คุกเข่าลงกับพื้น มือทั้งสองยันพื้น (เหมือนเตรียมจะคลาน) แอ่นหลังโดยยกศีรษะ และสะโพกขึ้นพร้อมกับสูดหายใจเข้า อยู่ในท่านี้ประมาณ 2-3 วินาที หลังจากนั้นโก่งหลังโดยเก็บศีรษะ และสะโพกพร้อมๆ กับผ่อนลมหายใจออก (เหมือนกับแมวโก่งตัว) ทำ 2 ท่านี้ติดกันหลายๆ ครั้ง จะช่วยให้ กระดูกสันหลังอ่อนตัว ท่วงท่าสง่างามขึ้น
4. คลายเครียดขณะเดินทาง ผ่อนคลายความตึงเครียด ด้วยการโยกศีรษะไปข้างหน้า ข้างหลัง ซ้ายและขวา จากนั้นตั้งศีรษะ ให้ตรง ยกไหล่ทั้งสองข้างขึ้นค้างไว้ 2-3 วินาที แล้วจึงปล่อยลงสู่ท่าปกติทำซ้ำหลายๆ ครั้ง
5. ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้าด้วยการร้องเพลงโปรดให้ดังที่สุด
6. ในที่ทำงาน นั่งหลังตรงเพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดี โดยจินตนาการว่ามีเชือกหนึ่งเส้นดึงศีรษะอยู่ เหมือนกับหุ่นเชิด พยายามหมุนข้อมือไปรอบๆ ให้เป็นนิสัย เพราะข้อมือมักจะไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวยามใช้แป้นพิมพ์นานๆ การกำมือสลับกางนิ้วให้เต็มที่ก็เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับมือ และนิ้ว
7. พักสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง ตั้งศีรษะให้ตรง กลอกตาไปมาทั้งซ้ายและขวา เหลือบขึ้นข้างบนและลงล่าง จากนั้นหลับตาสักพัก
ช่วงระยะเวลาการเล่นโยคะที่ปลอดภัย
1. ไม่แนะนำให้เล่นตอนเที่ยง เพราะจะเป็นช่วงที่ blood pressure สูงมากที่สุด เนื่องจากแรงดึงดูดของพระอาทิตย์ต่อโลกจะแรงในตอนกลางวัน (ซึ่งจะสังเกตได้จากน้ำหนักของตัวเราจะเบา แต่หากชั่งน้ำหนักตอนเที่ยงคืน น้ำหนักของเราจะหนักที่สุด) แต่สามารถเล่นได้ก่อน หรือหลังเที่ยง
2. ควรเล่นหลังจากรับประทานแล้วอย่างน้อย 2-3 ชม. เพราะช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ร่างกายกำลังย่อยอาหาร ซึ่งร่างกายมีความต้องการ พลังงาน เลือด ออกซิเจนไปช่วยในการย่อยอาหาร หากเราออกกำลังกายช่วงนั้นจะทำให้ร่างกายแย่งเลือด และ ออกซิเจนเพื่อไปเผาผลาญในส่วนอื่น ซึ่งจะส่งผลในทางลบกับร่างกายในระยะยาว
3. ไม่ควรเล่นหลัง 3 ทุ่มไปแล้ว เพราะจะทำให้ร่างกายตื่นตัวเกิน จะมีการเผาผลาญซึ่งใช้เวลา 2 ชั่วโมง ซึ่งอาจส่งผลแก่การนอนหลับ (ปกติจะมีเวลาชีวิต ซึ่งแนะนำให้นอนก่อนเที่ยงคืน)
4. หากเป็นคนอ้วนต้องการการเผาผลาญมาก แนะนำให้เล่นตอนเช้า เพราะร่างกายจะเผาผลาญได้ดี แต่คนผอม คลอเลสเตอรอลสูง เลือดจาง ระบบการเผาผลาญไม่มีปัญหา หากเล่นตอนเช้าจะเพลีย เหนื่อยง่าย รู้สึกง่วงนอนตอนช่วงบ่าย ซึ่งคนผอมโดยทั่วไป จะมีลักษณะที่เป็นคนเครียดง่าย มีการสะสม toxic คือกรดแลคติคในร่างกายมาก ผิวแห้ง ผมแห้ง ท้องผูก และนอนหลับยาก คนผอมเหล่านี้ควรจะเล่นช่วงเย็นจะดีกว่า เพราะเป็นการล้างกรดแลคติคออกไป หลังจากเล่นแล้ว จะนอนหลับสบาย
5. การใช้เวลาเล่นควรจะอย่างน้อย 1 ชม และแนะนำให้อยู่ในที่อากาศปกติ (ไม่ควรเล่นในห้องแอร์) เพราะจะช่วยในการหายใจ และ จะทำให้เหงื่อออกได้ เมื่อเหงื่อออกจะช่วยขับของเสียในร่างกาย
โดย Crystal
เชื่อหรือไม่...สาวผิวขาวแสนสวยคนนี้ แท้จริงเป็นคนผิวสีที่ป่วยโรคเดียวกับ ไมเคิล แจ๊กสัน !
เชื่อหรือไม่...สาวผิวขาวแสนสวยคนนี้ แท้จริงเป็นคนผิวสีที่ป่วยโรคเดียวกับ ไมเคิล แจ๊กสัน !
เรื่องราวของหญิงสาวผิวสีคนนี้อาจเป็นคำตอบหรือข้อยืนยันสำหรับหลายคนที่มีความสงสัยเกี่ยวกับการ เปลี่ยนสีผิว จากผิวสีดำกลายเป็นผิวขาวของราชาเพลงป็อปผู้ล่วงลับ ไมเคิล แจ๊กสัน เพราะผู้หญิงคนนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า โรคด่างขาว อาการผิดปกติของผิวหนังชนิดหนึ่ง สามารถทำให้คนผิวสีกลายเป็นคนผิวขาวไปทั้งตัวได้อย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้
ทุกวันนี้ สาววัย 23 ปี ที่ชื่อว่า ดาร์เซล เดอ วลูกท์ ต้องทาครีมกันแดดชนิดดีที่สุดทุกวันในชีวิตของเธอ แม้ว่าวันนั้นจะไม่มีแดดออกก็ตาม เธอเป็นผู้ป่วยโรคด่างขาวกรณีหาได้ยากมาก เพราะว่าโรคนี้ทำให้เธอเปลี่ยนเป็นคนผิวขาวอย่างสมบูรณ์ และทำให้เธอต้องมีปัญหาทุกครั้งในความพยายามอธิบายความจริงว่า ที่แท้เธอเป็นคนผิวสี
ดาร์เซล ในวัยเด็ก ขณะที่อาการด่างขาวเริ่มแสดงออกมา
"ฉันเหนื่อยมากกับการพยายามอธิบายให้ใครเข้าใจว่า ฉันเกิดเป็นคนผิวสี และพ่อแม่ของฉันมาจากประเทศทรินิแดด" ดาร์เซล กล่าวและว่า พ่อแม่ของเธอเริ่มสังเกตความผิดปกติเมื่อเธออายุ 5 ขวบ เพราะเกิดจุดขาวๆ ขึ้นที่ต้นแขนและหน้าผาก และเมื่ออายุได้ 7 ขวบ ผิวหนังที่ขาก็กลายเป็นสีขาว และเริ่มมีจุดสีขาวไปทั่วทั้งร่าง
ดาร์เซล ซึ่งปัจจุบันประกอบอาชีพเป็นแฟชั่นดีไซน์เนอร์ กล่าวต่อว่า เมื่ออายุ 17 ปี เธอก็กลายเป็นคนผิวขาวอย่างสมบูรณ์ ทั้งที่ไม่มีใครในตระกูลฉันเคยมีประวัติเป็นโรคด่างขาวมากก่อน ส่วนคนที่แต่งงานกับตระกูลของเธอก็มีอาการนี้เหมือนกัน แต่ไม่หนักแบบนี้
เมื่อถูกถามถึงอาการป่วยของไมเคิล ดาร์เซล เชื่อว่า ราชาเพลงป็อปเป็นโรคเดียวกับเธอ และมีรอยด่างขาวบนร่างกายบางส่วน ไมเคิลจึงต้องทำให้ร่างกายส่วนอื่นมีสีผิวขาวตามไปด้วย แต่เธอโชคดีที่ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพราะทุกส่วนมันขาวไปหมดแล้ว
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า กรณีแบบดาร์เซลถือว่าหาได้ยากมาก และโรคนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ 1 ใน 100 คนในทุกช่วงอายุWednesday, 29 July 2009
บัว
บัว พันธุ์ไม้น้ำที่ถือกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ผุดผ่องและคุณงามความดีในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบระดับสติปัญญาของมนุษย์กับการเจริญเติบโตของบัว เป็น 4 เหล่าคือ บัวในโคนตม บัวใต้น้ำ บัวปิ่มน้ำ และบัวเหนือน้ำ บัวเป็นพันธุ์ไม้น้ำที่ดูสง่างาม ดอกมีขนาดใหญ่ มีสีสันสวยงาม เด่นสะดุดตาสะดุดใจแก่ผู้พบเห็น บางชนิดมีกลิ่นหอมน่าชื่นชม ด้วยเหตุนี้เองบัวจึงได้รับสมญาว่า "ราชินีแห่งไม้น้ำ"
บัว เป็นพืชน้ำชนิดหนึ่งอยู่ในวงศ์ Nymphaeaceae จัดเป็นพืชน้ำล้มลุกที่มีอายุหลายปี พบได้ทั่วไปทั้งในเขตร้อน เขตอบอุ่นและเขตหนาว จำแนกถิ่นกำเนิดและการเจริญเติบโตได้ 2 จำพวกคือ
- บัวที่เกิดและเจริญเติบโตในเขตอบอุ่นและเขตหนาว (Subtropical and Temperate Zones) เช่น ยุโรป อเมริกาเหนือ ภาคใต้ของอเมริกาใต้ ตอนเหนือของอินเดีย จีนและออสเตรเลีย บัวประเภทนี้มีเหง้าสะสมอาหารอยู่ในดิน เมื่อถึงฤดูหนาวผิวหน้าของน้ำเป็นแผ่นน้ำแข็ง จะทิ้งใบและอาศัยอาหารในเหง้าเลี้ยงตัวเอง เมื่อเข้าฤดูใบไม้ผลิน้ำแข็งละลายหมดก็จะเจริญแตกหน่อต้นใหม่ และจะเจริญเติบโตออกดอกออกผลหมุนเวียนอยู่เช่นนี้เรื่อยไป เรียกบัวประเภทนี้ว่า Hardy Type หรือ Hardy Waterlily นักพฤกษศาสตร์จัดให้บัวประเภทนี้อยู่ในกลุ่ม Castalia Group หรือ อุบลชาติประเภทยืนต้น
- บัวที่เกิดและเจริญเติบโตในเขตร้อน (Tropical Zones) เช่น ทวีปเอเซียตอนกลางและตอนใต้ อาฟริกา ออสเตรเลียตอนเหนือ อเมริกากลางและอเมริกาใต้ บัวประเภทนี้กำเนิดและเจริญเติบโตได้ในเขตร้อนเขตเดียว ถ้านำไปปลูกในเขตอบอุ่นหรือเขตหนาว เมื่อเข้าฤดูหนาวผิวหน้าของน้ำเป็นน้ำแข็งทำให้บัวประเภทนี้ต้องตายไป จึงเรียกบัวประเภทนี้ว่า Tropical Type หรือ Tropical Waterlily นักพฤกษศาสตร์จัดให้บัวประเภทนี้อยู่ในกลุ่ม Lotus Group หรือ อุบลชาติประเภทล้มลุก
บัวเป็นพืชน้ำล้มลุก ลักษณะลำต้นมีทั้งที่เป็น เหง้า ไหล หรือหัว ใบเป็นใบเดี่ยวเจริญขึ้นจากลำต้น โดยมีก้านใบส่งขึ้นมาเจริญที่ใต้น้ำ ผิวน้ำหรือเหนือน้ำ รูปร่างของใบส่วนใหญ่กลมมีหลายแบบ บางชนิดมีก้านใบติดอยู่ที่หลังใบ ดอกเป็นดอกเดี่ยวสมบูรณ์เพศ ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง 4-6 กลีบ กลีบดอกมีทั้งชนิดซ้อนและไม่ซ้อน มีสีสันแตกต่างกันแล้วแต่ชนิด บัวที่พบและนิยมปลูกในประเทศไทยมีอยู่ 3 สกุล คือ
- สกุลบัวหลวง (Lotus) เป็นบัวในสกุล Nelumbo มีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า ปทุมชาติ หรือ บัวหลวง มีถิ่นกำเนิดแถบเอเชีย เช่น จีน อินเดียและไทย มีลำต้นใต้ดินแบบเหง้าและไหลซึ่งเมื่อยังอ่อนจะมีลักษณะเรียวยาว เมื่อโตเต็มที่จะอวบอ้วนเนื่องจากสะสมอาหารไว้มาก มีข้อปล้องเป็นที่เกิดของราก ใบและดอกเกิดจากหน่อที่ข้อปล้องแล้วเจริญขึ้นมาที่ผิวน้ำหรือเหนือน้ำ ใบเป็นใบเดี่ยวมีลักษณะกลมใหญ่สีเขียวอมเทา ขอบใบยกผิวด้านบนมีขนอ่อนๆ ทำให้เมื่อโดนน้ำจะไม่เปียกน้ำ เมื่อใบยังอ่อนใบจะลอยปิ่มน้ำ ส่วนใบแก่จะชูพ้นน้ำ ก้านใบและก้านดอกมีหนาม ดอกเป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ชูสูงพ้นผิวน้ำ มีทั้งดอกป้อมและดอกแหลม บานในเวลากลางวันมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง 4-6 กลีบ ด้านนอกมีสีเขียว ด้านในมีสีเดียวกับกลีบดอก กลีบดอกมีทั้งชนิดดอกซ้อนและไม่ซ้อน สีของกลีบดอกมีทั้งสีขาว ชมพู หรือเหลือง แตกต่างกันแล้วแต่ชนิดพันธุ์ บัวในสกุลนี้เป็นบัวที่รู้จักกันดีเพราะเป็นบัวที่มีดอกใหญ่นิยมนำมาไหว้พระ และใช้ในพิธีทางศาสนา เหง้าหรือที่มักเรียกกันว่ารากบัวและไหลบัวรวมทั้งเมล็ดสามารถนำมาเป็นอาหาร ได้
- สกุลบัวสาย (Waterlily) เป็นบัวในสกุล Nymphaea มีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า อุบลชาติ หรือ บัวสาย บัวสกุลนี้มีลำต้นใต้ดินเป็นหัวหรือเหง้า ใบและดอกเกิดจากตาหรือหน่อและเจริญขึ้นมาที่ผิวน้ำด้วยก้านส่งใบและยอด บางชนิดมีใบใต้น้ำ ใบเป็นใบเดี่ยว มีขอบใบทั้งแบบเรียบและแบบคลื่น ผิวใบด้านบนเรียบเป็นมัน ด้านล่างมีขนละเอียดหรือไม่มี ดอกเป็นดอกเดี่ยวมีทั้งชนิดที่บานกลางคืนและบานกลางวัน บางชนิดมีกลิ่นหอม มีสีสันหลากหลายแตกต่างกันไป
- สกุลบัววิกตอเรีย (Victoria) เป็นบัวในสกุล Victoria มีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า บัวกระด้ง จัดเป็นบัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีลำต้นใต้ดินเป็นหัวใหญ่ ใบเป็นใบเดี่ยวมีขนาดใหญ่ประมาณ 6 ฟุต ลอยบนผิวน้ำ ใบอ่อนมีสีแดงคล้ำเมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม ขอบใบยกขึ้นตั้งตรง มีหนามแหลมตามก้านใบและผิวใบด้านล่าง ดอกเป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ ก้านดอกและกลีบเลี้ยงด้านนอกมีหนามแหลม บานเวลากลางคืนและมีกลิ่นหอม ดอกประกอบด้วยกลีบเลี้ยงจำนวน 4 กลีบ ด้านนอกมีสีเขียวด้านในสีเดียวกับกลีบดอก เมื่อเริ่มบานกลีบดอกจะมีสีขาวและจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูต่อไป
ดิน ที่เหมาะในการใช้ปลูกบัวคือ ดินเหนียว ดินท้องร่องที่มีธาตุโปแตสเซียมสูง ไม่ควรใช้ดินที่มีซากอินทรีย์วัตถุที่ยังย่อยสลายไม่หมดเพราะจะทำให้น้ำเสียและอาจทำให้ต้นเน่าได้
น้ำ ต้องเป็นน้ำที่สะอาด ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) อยู่ระหว่าง 5.5-8.0 อุณหภูมิควรอยู่ระหว่าง 15-35 องศาเซลเซียส ไม่ควรเกิน 50 องศาเซลเซียส ระดับความลึกของน้ำที่บัวต้องการแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ
- น้ำตื้น คือบัวที่ต้องการน้ำลึกระหว่าง 15-30 ซม. มีผิวหน้าของน้ำในการแผ่กระจายของใบประมาณ 50X50 ซม.
- น้ำลึกปานกลาง คือบัวที่ต้องการความลึกระหว่าง 30-60 ซม. มีผิวหน้าของน้ำในการแผ่กระจายของใบประมาณ 1X1 เมตร
- น้ำลึกมาก คือบัวที่ต้องการความลึกของน้ำอยู่ระหว่าง 60-120 ซม
ระดับน้ำที่เหมาะสมกับความต้องการของบัวสังเกตุได้จาก ก้านดอกจะส่งดอกตั้งตรงในแนวดิ่ง ก้านใบไม่ควรแผ่กว้างกว่า 45 องศา
แสงแดด บัวเป็นพืชที่ชอบแสงแดดจัด จึงควรให้บัวได้รับแสงแดดเต็มที่วันละ 4 ซม. เป็นอย่างน้อย ถ้าปลูกบัวในที่ร่มเกินไปบัวจะออกดอกน้อยหรือไม่ออกดอกเลย
การให้ปุ๋ย เมื่อเห็นว่าบัวที่ปลูกชะงักการเจริญเติบโต ใบเล็กลงกว่าปกติ ใบด้านขาดความมัน เหลือง แก่เร็วขึ้น แสดงว่าบัวขาดธาตุอาหารหรือปุ๋ย วิธีการให้ปุ๋ยบัวจะแตกต่างกับการให้ปุ๋ยพืชชนิดอื่นคือ ต้องทำปุ๋ย "ลูกกลอน" โดยนำปุ๋ยสูตรเสมอ 10-10-10 หรือ 15-15-15 ประมาณ 1 ช้อนชา ห่อด้วยดินเหนียวแล้วปั้นเป็นลูกกลอนผึ่งลมให้แห้ง ถ้าปลูกบัวไม่มากอาจใช้กระดาษหนังสือพิมพ์แทนดินเหนียว ห่อ 2-3 ชั้น นำปุ๋ยลูกกลอนที่ทำไว้ฝังห่างจากโคนต้นประมาณ 5-8 ซม. สำหร้บบัวเผื่อน บัวสาย และจงกลณีที่มีการเจริญเติบโตในทางดิ่งให้ฝังด้านใดก็ได้ แต่สำหรับบัวหลาง บัวฝรั่ง และอุบลชาติ ซึ่งมีการเจริญเติบโตในแนวนอนให้ฝังด้านหน้าแนวการเจริญเติบโตของเหง้าหรือไหลโรคและแมลงศัตรู
- โรคใบจุด เกิดจากเชื้อรา ระบาดมากในช่วงฤดูฝนซึ่งสภาพอากาศมีความชื้นสูง มักเกิดบนใบบัวที่แก่ อาการของโรคจะเป็นแผลหรือจุดวงกลมสีเหลือง เมื่อแผลขยายกว้างจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ตรงกลางแผลแห้ง ป้องกันและแก้ไขโดยเด็ดใบที่แก่หรือเป็นโรคทิ้ง
- โรคเน่า มักเกิดกับบัวกลุ่มอุบลชาติและบัวกระด้ง สาเหตุเกิดจากดินที่ใช้ปลูกมีมูลสัตว์ที่ยังเน่าเปื่อยไม่หมด ทำให้หัว เหง้า หรือโคนต้นเละ ต้นแคระแกนและตาย เมื่อเห็นว่าต้นแสดงอาการควรรีบนำต้นขึ้นมาตัดส่วนที่เน่าทิ้ง เปลี่ยนดินปลูกใหม่ หรือเก็บต้นและดินบริเวณที่เป็นโรคทำลายทิ้งเสีย
- เพลี้ยไฟ มักเกิดกับบัวที่ยังอ่อนอยู่ ทำให้ใบหงิกไม่คลี่ ด้านหลังใบจะมีรอยช้ำเป็นสีชมพูเรื่อๆ ต่อมาจะแห้งและดำ ถ้าเข้าทำลายดอกและก้านดอกจะทำให้ดอกที่ตูมอยู่เหี่ยวและแห้งเป็นสีดำ ก้านดอกแห้งเป็นสีน้ำตาลและหักง่าย
- เพลี้ยอ่อน จะดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณโคนก้านดอก ก้านใบ และใบอ่อนที่โผล่เหนือน้ำ ลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลดำ ทำให้ดอกตูมและใบมีขนาดเล็ก สีเหลืองซีดและแห้งตาย
- หนอน ได้แก่ หนอนชอนใบ , หนอนกระทู้ , หนอนผีเสื้อ , หนอนกอ จะดูดน้ำเลี้ยงและกัดกินใบบัว
หนอนและแมลงที่กล่าวมาสามารถกำจัดและควบคุมได้โดยใช้ โมโนโครโตฟอส (Monocrotophos) ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า อะโซดริน60 (Azodrin60) มาลาไธออน (Malathion) ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า มาลาเฟซ (Malafez) โดยใช้ในอัตรา 1 ซีซี. ต่อน้ำ 1 ลิตร ฉีดพ่นทุกๆ สัปดาห์จนกว่าหนอนและแมลงศัตรูจะหมด
หอย จะเป็นตัวบอกว่าน้ำในบ่อดีหรือเสีย ถ้าน้ำเสียออกซิเจนในน้ำมีไม่เพียงพอหอยจะลอยตัวหรือเกาะอยู่ตามขอบบ่อเพื่อหาออกซิเจนหายใจ ถ้าเป็นเช่นนี้ให้รีบเปลี่ยนถ่ายน้ำในบ่อปลูก แต่ถ้าในบ่อมีหอยมากเกินไปหอยจะอาศัยดูดน้ำเลี้ยงจากใบอ่อนหรือทำให้ก้านใบขาดได้ จึงควรกำจัดออกบ้างโดยการเก็บออก หรือถ้าปลูกในบ่อที่มีขนาดใหญ่อาจจะเลี้ยงปลาช่อนให้ช่วยกินตัวอ่อนของหอยก็ได้การขยายพันธุ์
การแยกเหง้า บัวในเขตอบอุ่นและเขตหนาวที่มีลำต้นเป็นแบบเหง้าสามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยวิธีแยกหน่อหรือต้นอ่อนจากเหง้าต้นแม่ไปปลูก โดยตัดแยกเหง้าที่มีหน่อหรือต้นอ่อนยาว 5-8 ซม. ตัดรากออกให้หมด ถ้าเป็นต้นอ่อนสามารถนำไปปลูกยังที่ต้องการได้เลย ถ้าเป็นหน่อให้นำไปปลูกในกระถางขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20-25 ซม. ฝังดินให้ลึกประมาณ 3-5 ซม. กดดินให้แน่น เทน้ำให้ท่วมประมาณ 8-10 ซม. ดินที่ใช้ควรเป็นดินเหนียวเพื่อช่วยจับเหง้าไม้ให้ลอยขึ้นเหนือผิวน้ำ เมื่อหน่อเจริญเติบโตเป็นต้นใหม่จึงย้ายไปปลูกยังที่ต้องการ
การแยกไหล บัวในเขตร้อนโดยเฉพาะบัวหลวงจะสร้างไหลจากหัวหรือเหง้าของต้นแม่แล้วไปงอกเป็นต้นใหม่ สามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยวิธีตัดเอาไหลที่มีหน่อหรือปลิดต้นใหม่จากไหลไปปลูก การตัดไหลที่มีหน่อไปปลูกควรตัดให้มีขนาดความยาวประมาณ 2-3 ข้อ และมีตาประมาณ 3 ตา นำไหลที่ตัดฝังดินให้ลึก 3-5 ซม. กดดินให้แน่น ต้นอ่อนจะขึ้นจากตาและเจริญเป็นต้นใหม่ต่อไป
การแยกต้นอ่อนที่เกิดจากใบ บัวในเขตร้อนสกุลบัวสายบางชนิดจะแตกต้นอ่อนบนใบบริเวณกลางใบตรงจุดที่ต่อกับก้านใบหรือขั้วใบ สามารถขยายพันธุ์ได้โดยตัดใบที่มีต้นอ่อนโดยตัดให้มีก้านใบติดอยู่ 5-8 ซม. เสียบก้านลงในภาชนะที่ใช้ปลูกให้ขั้วใบที่มีต้นอ่อนติดกับผิวดิน ใช้อิฐหรือหินทับแผ่นใบไม่ให้ลอย เติมน้ำให้ท่วมยอด 6-10 ซม. ประมาณ 2 สัปดาห์ ต้นอ่อนจะแตกรากยึดติดกับผิวดินและเจริญเติบโตต่อไป
การเพาะเมล็ด การขยายพันธุ์วิธีนี้ไม่ค่อยนิยมปฏิบัติเนื่องจากยุ่งยากและต้องใช้เวลานาน ยกเว้นบัวกระด้งที่ต้องขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดเท่านั้น นอกจากนี้การเพาะเมล็ดมักนิยมใช้กับเมล็ดบัวที่ได้จากการผสมพันธุ์บัวขึ้นมา ใหม่แล้วเก็บเอาเมล็ดนำมาเพาะ เพื่อสะดวกในการคัดแยกพันธุ์ วิธีการเพาะเมล็ดมีดังนี้ เตรียมดินเหนียวที่ไม่มีรากพืช ใส่ลงในภาชนะปากกว้างที่มีความลึกประมาณ 25-30 ซม. โดยไส่ดินให้สูงอย่างน้อย 10 ซม. ปรับแต่งหน้าดินให้เรียบและแน่น เติมน้ำให้สูงจากหน้าดินประมาณ 7-8 ซม. นำเมล็ดที่จะใช้เพาะโรยกระจายบนผิวน้ำให้ทั่ว เมล็ดจะค่อยๆ จมลงใต้น้ำ สำหรับเมล็ดบัวหลวงและบัวกระด้งเมล็ดมีขนาดใหญ่ ให้กดเมล็ดให้จมลงไปในดินแล้วเติมน้ำให้สูงจากผิวดินประมาณ 15 ซม. นำภาชนะที่เพาะไปไว้ในที่มีแดดรำไร ประมาณ 1 เดือน เมล็ดจะเริ่มงอกเป็นต้นอ่อน เมื่อต้นอ่อนแข็งแรงและมีใบประมาณ 2-3 ใบ จึงแยกนำไปปลูกยังที่ต้องการการผสมพันธุ์
ดอกบัวจัดเป็นดอกสมบูรณ์เพศมีเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน เกสรตัวเมียจะบานก่อนเกสรตัวผู้ 1-2 วัน ดังนั้นเกสรตัวเมียจึงมักได้รับการผสมพันธุ์จากเกสรตัวผู้ของดอกอื่น โดยมีลมและแมลงเป็นตัวช่วยในการผสมพันธุ์ แต่การผสมพันธุ์บัวเพื่อให้ได้บัวพันธุ์ใหม่ที่มีสีสวยแปลกออกไปและเพื่อ เป็นการพัฒนาสายพันธุ์จึงมักเป็นการผสมพันธุ์โดยมนุษย์ช่วยผสมพันธุ์ โดยคัดเลือกบัวพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ที่จะนำมาผสม ก่อนดอกแม่บาน 1-2 วัน ให้ทำการเปิดดอกแล้วใช้กรรไกรขลิบตัดเกสรตัวผู้ออกให้หมดแล้วคลุมดอกด้วยผ้า มุ้งตาถี่ๆ เพื่อกันเกสรตัวผู้จากดอกอื่นที่ไม่ต้องการเข้ามาผสม เมื่อดอกแม่บานให้ขลิบตัดเอาเกสรตัวผู้จากดอกต้นพ่อพันธุ์และควรเป็นดอกที่ บานแล้วประมาณ 2 วัน มาใส่บนเกสรตัวเมียของดอกแม่แล้วคลุมด้วยผ้ามุ้งตามเดิม ดอกแม่เมื่อได้รับการผสมแล้วถ้าผสมไม่ติดดอกจะลอยอยู่ปริ่มน้ำแล้วจะโรยไป ถ้าผสมติดดอกจะเริ่มกลายเป็นฝักโดยดอกจะค่อยๆ จมลงใต้น้ำประมาณ 2 สัปดาห์ เมื่อดอกเจริญเป็นฝักแก่และมีเมล็ดแก่ก็จะลอยขึ้นมาบนผิวน้ำใหม่อีกครั้ง จึงเก็บเอาฝักแก่มาแยกเอาเมล็ดนำไปเพาะเมล็ดต่อไป
ไม้ประดับดูดสารพิษ
ดร.บี ซี วูฟเวอร์ตัน ได้เขียนหนังสือ Eco-Friendly House Plant หรือ ไม้ประดับที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยแนะนำไม้ดอกไม้ประดับ 50 ชนิด ที่มีความสามารถในการดูดไอพิษจากอากาศ ไม่ว่าจะเป็นฟอร์มาดิไฮด์ แอมโมเนีย ไซลีน ทูลีน รวมทั้งไอเสียที่เกิดจากมนุษย์ ซึ่งไม้ประดับส่วนใหญ่ที่ ดร.วูฟเวอร์ตันแนะนำนั้นเป็นไม้ประดับที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี เป็นไม้ประดับที่สวยงาม ดูแลรักษาง่าย เป็นไม้ประดับที่นิยมปลูกกันโดยทั่วไป เพียงแต่เราไม่เคยได้ล่วงรู้ถึงคุณสมบัติในการดูดสารพิษของไม้ประดับเหล่านี้มาก่อน
การปลูกต้นไม้เพื่อฮวงจุ้ยที่ดี ทำให้เจ้าของบ้านเจริญรุ่งเรือง
ต้นสน
ตามความเชื่อของคนจีน ต้นสนเป็นสัญลักษณ์
ของการมีอายุยืนยาว และความมั่นคง ต้นสน
ต้นไผ่ และต้นเหมย ถือเป็นสามสหายแห่งฤดูหนาว
สำหรับบ้านที่มีประวัติบุคคลภายในบ้านอายุสั้น
หรือมีการตายอย่างปัจจุบันทันด่วน หรือตายร้าย
ให้หากิ่งสนที่มีอายุมากๆ มาเก็บซ่อนไว้ที่ห้องนอน
อย่าให้ใครเห็น หรือจะหาภาพนกกระเรียน หรือเต่า
มาแขวนในบ้านก็ได้ เพราะเป็นสัญลักษณ์แห่งอายุยืน
ต้นราชพฤกษ์
เปรียบเสมือนความเหลืองอร่ามดั่งทอง
ต้นเข็ม
เปรียบเสมือนความเฉลียวฉลาด ความเป็นผู้มีปัญญา
หรือความเฉียบแหลม
เฟื่องฟ้า
เปรียบเสมือนความก้าวหน้า ความเบิกบาน การดำเนิน
ไปสู่สิ่งที่ดีกว่า คือความเจริญรุ่งเรืองนั่นเอง
บอนไซ
เปรียบเสมือนความอดทน และความแข็งแกร่ง
ต่อสภาวะต่างๆได้ดี
กล้วยไม้
เปรียบเสมือนการจะทำให้คนที่พบเห็นเกิดความ
ประทับใจ และมีจริยธรรม แล้วยังทำให้มีจิตใจ
ที่อ่อยโยนอีกด้วย
วาสนา
เปรียบเสมือนการจะทำให้เกิดโชคลาภ ร่ำรวย
มีบารมี เกิดบุญวาสนา สมหวัง และประสบ
ความสำเร็จในชีวิต หากผู้ใดปลูกจนออกดอกออกผล
จะสมดั่งใจปราถนาตามที่หวัง
ต้นมะขาม
เปรียบเสมือนการจะทำให้คนเกรงขาม ให้ความ
เคารพนับถือ
ต้นมะยม
เปรียบเสมือนการจะทำให้คนนิยมชมชอบ
มีคนเสน่หา เมตตามหานิยม แถมต้นมะยมยัง
ทำให้เด็กนิสัยเสียกลายเป็นเด็กดีได้ดีนักแล
ต้นโมก
เปรียบเสมือนการสามารถคุ้มกันภยันอันตรายต่างๆได้
ดอกสีขาวส่งกลิ่นหอม คือความบริสุทธิ์ และความสุข
แก้ว
เปรียบเสมือนการจะทำให้มีโชคลาภ ดั่งมีเงินทอง
กองอยู่ในบ้าน สีขาวของดอกแก้วคือความดี และ
ความบริสุทธิ์สดใส
โป๊ยเซียน
เปรียบเสมือนโชคลาภบารมีและความรุ่งเรืองสงบสุข
หากบ้านใดปลูกต้นโป๊ยเซียน แล้วออกดอกแปดดอก
จะทำให้มีโชคลาภตามความหมายของเลขแปด คือ
โชคลาภมีตลอด ไม่สิ้นสุด
สนฉัตร
เปรียบเสมือนการทำให้เกิดความประทับใจ แก่ผู้พบเห็น
เกิดสง่าราศี เจริญรุ่งเรือง ยศศักดิ์
ขนุน
เปรียบเสมือนจะมีคนคอยช่วยเหลือค้ำจุน และคอยช่วย
ส่งเสริม เกิดโชควาสนาบารมี ตามหลักฮวงจุ้ย ให้ปลูก
ที่ด้านหลังของบ้าน คือมีผู้คอยอุปถัมภ์
ว่านสี่ทิศ
เปรียบเสมือนการจะเดินทางไปทางใด ก็จะปลอดภัย
ไร้อุปสรรค แคล้วคลาดจากภัยอันตรายต่างๆ มีแต่คน
คอยช่วยเหลือ
ดอกบัว
เปรียบเสมือนความบริสุทธิ์ ความดี บุญบารมี ทำให้
คนในครอบครั้ว มีความสามัคคีต่อกัน
จากหนังสือ ชาตินี้รวยแน่ต้องแก้ฮวงจุ้ย
อาจารย์อัปสร สำนักพิมพ์มู่หลาน
Tuesday, 21 July 2009
ตำนาน พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ (นะ โม พุท ธา ยะ)
เนื้อเรื่องและรูปมาจาก เวบพลังจิต ครับ เป็นสิ่งที่ดีครับ จึงขออนุญาต เผยแพร่ครับ
ในสมัย ต้นปฐมกัป มีพญากาเผือกสองตัวผัวเมีย ทำรังอยู่ที่ต้นมะเดื่อริมฝั่งแม่น้ำคงคาอันเป็นธรรมชาติสถาน รื่นรมย์ ในเวลาต่อมาต่อมา พระโพธิสัตว์ ได้ทรงปฏิสนธิเกิดในครรภ์แม่พญากาเผือก พร้อมกันถึง ๕ พระองค์ เมื่อครบทศมาส แม่กาเผือกก็ออกไข่ ณ ที่รังต้นมะเดื่อ จำนวน ๕ ฟอง (สถานที่นี้ในกาลต่อมาเรียกว่า วัดพระเกิด) และคอยเฝ้า ดูแลรักษาไข่ด้วยความทะนุถนอมเป็นอย่างดี อยู่ มาวันหนึ่งพญากาเผือกออกไปหากินถิ่นแดนไกลไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งอันสมบูรณ์ ด้วยธรรมชาติ แม่กาเผือกเพลินหากินอาหาร ชื่นชมกับธรรมชาติจนมืดค่ำ เกิดลมพายุใหญ่พัดกระหน่ำมืดครึ้มทั่วไปหมด ทำให้หาหนทางออก ไม่ถูก จึงหลงอยู่ในบริเวณสถานที่นั้น (สถานที่นั้นในกาลต่อมาเรียกว่า เวียงกาหลง) แม่กาเผือกได้อยู่ที่เวียงกาหลง คืนหนึ่ง จนเช้าจึงรีบถลาบินกลับที่พัก แต่ปรากฏว่ากิ่งไม้มะเดื่อที่ทำรังอยู่ถูกลมพายุใหญ่พัดหักล้มลงไปในแม่น้ำ แม่กาเผือกตกใจรีบบินถลาหาลูกที่ยังอยู่ในไข่ แต่หาเท่าไรก็ไม่พบ ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ ในที่สุดก็สิ้นใจตายอย่างน่าสงสาร
แต่ ด้วยอานิสงส์ที่มีความเมตตารักลูกอันบริสุทธิ์กับทั้งที่ลูกของแม่กา เผือกเป็นพระโพธิสัตว์ถึง ๕ พระองค์ จึงเป็นกุศลหนุนส่งให้แม่กาเผือกไปจุติยังแดนพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ได้พระนามว่า “ฆติกามหาพรหม” จักได้เป็นผู้ถวาย อัฏฐะบริขาร บวชแก่ลูกทั้ง ๕ พระองค์ เมื่อจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนไข่ทั้ง ๕ ถูกลมพัดตกน้ำไหลไปในสถานที่ต่าง ๆ ไข่ฟองที่ ๑ แม่ไก่เก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๒ แม่นาคราชเก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๓ แม่เต่า เก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๔ แม่โคเก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๕ แม่ราชสีห์เก็บไปดูแลรักษา
ครั้นใน กาลเวลาต่อมา พระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ ก็ประสูติออกจากไข่ ปรากฏเป็นมนุษย์บุรุษรูปงานทั้ง ๕ พระองค์ และเจริญเติบโตอยู่กับแม่เลี้ยงด้วยความกตัญญู รู้จักหน้าที่ ทดแทนบุญคุณจนถึงอายุได้ ๑๒ ปี ด้วยบุญกุศลเก่าหนุนส่งก็มีจิตคิดที่จะออกบวชบำเพ็ญเนกขัมมะบารมี เป็นฤาษีอยู่ในป่า จึงได้อำลาแม่เลี้ยงของตนเหมือนกันทั้ง ๕ พระองค์ ฝ่ายแม่เลี้ยงก็ไม่ขัดความประสงค์ อนุญาตให้ลูกไปบวช บำเพ็ญบารมีอยู่ในป่าด้วยความอนุโมทนา
แม่ เลี้ยงทั้ง ๕ เป็นปณิธานที่มุ่งมั่น จะบำเพ็ญบารมีพระโพธิญาณ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์โลกให้พ้นจากกองทุกข์ในวัฏฏะสงสาร จึงฝากนามของแม่เลี้ยงไว้กับลูกเพื่อเป็นอนุสรณ์ตำนานไว้แก่โลกต่อไปในภาค หน้า เมื่อลูกได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกแล้วตามลำดับพระนามดังต่อไปนี้
องค์ที่ ๑ มีพระนามว่า พระกกุสันโธ เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นไก่
องค์ที่ ๒ มีพระนามว่า พระโกนาคมโน เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นนาค
องค์ที่ ๓ มีพระนามว่า พระกัสสโป เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นเต่า
องค์ที่ ๔ มีพระนามว่า พระโคตโม เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นโค
องค์ที่ ๕ มีพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตรโย เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นราชสีห์
ในกัปนี้ชื่อว่า ภัททกัปเป็นกัปที่เจริญที่สุดเพราะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกนี้ถึง ๕ พระองค์ จึงเป็นที่มาของ คำว่า “นโมพุทธายะ” นะ คือ พระกกุสันโธ โม คือ พระโกนาคมโน พุท คือ พระกัสสโป ธา คือ พระโคตโมยะ คือ พระศรีอาริยเมตไตรโย จนเป็นคาถาที่ใช้สืบต่อกันมา ฝ่าย พระโพธิสัตว์ ทั้ง ๕ เมื่อออกบวชเป็นฤาษีก็ได้บำเพ็ญเพียรพระกัมมัฏฐานจนสำเร็จญาณอภิญญาสมาบัติ อยู่มาวันหนึ่งได้เหาะมาหาอาหารผลไม้ และบำเพ็ญเพียรธรรมที่ป่าดอยสิงกุตตระ ณ ใต้ต้นนิโครธ อันร่มเย็นด้วยกิ่งไม้สาขาใหญ่ ฤาษีทั้ง ๕ ได้มาพบกัน ณ ที่นี้โดยไม่ได้นัดหมาย จึงสอบถามถึงความเป็นมาของกันและกันจนรู้ว่าแต่ละองค์ก็มีแต่แม่เลี้ยง ฤาษีทั้ง ๕ จึงร่วมกันตั้งสัจจะอธิษฐานขอให้ได้พบแม่บังเกิดเกล้า ด้วยอำนาจสัจจะอธิษฐานธรรมอันบริสุทธิ์ดังก้องไปถึงพรหมโลก ท้าวฆติกามหาพรหม ซึ่งเดิมคือ แม่กาเผือก ทราบเหตุการณ์ทั้งหมดจึงจำแลงเพศเป็นรูปเดิม ขนขาวสวยงาม มาปรากฏตัวอยู่ข้างหน้าของฤาษีทั้ง ๕ เมื่อลูกฤาษีได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด ก็รู้สึกสลดสังเวชใจและสำนึกบุญคุณอันใหญ่หลวงของแม่กาเผือก จึงน้อมนมัสการผู้เป็นแม่ กราบขอสัญลักษณ์อนุสรณ์ผู้บังเกิดเกล้าไว้บูชา ได้มาเป็นผ้าฝ้ายเป็นตีนกาสัญลักษณ์ของแม่กาเผือกให้แก่ลูกฤาษีทั้ง ๕ ไว้ใช้เป็นไส้ประทีปจุดบูชาทุกวันพระ และต่อมาได้กลายเป็นประเพณีจุดประทีปตีนกาบูชาแม่กาเผือก ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ลอยกระทง เป็นตำนานสืบไว้ตลอดกาลนาน
ฤาษี โพธิสัตว์ทั้ง ๕ ต่างพากันตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรรักษาศีลธรรมภาวนามิได้ขาดจนดับขันธ์ ได้ไปจุติบนเทวโลกชั้นดุสิตพิภพ และในกาลต่อมาก็วนเวียนบำเพ็ญเพียรบารมีทุกภพชาติที่กำเนิดเกิดในสงสารวัฏ นี้ จนบารมีเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ทั้ง 30 ทัศแล้ว ก็ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ฆติกามหาพรหมผู้เป็นแม่ต้นกัปโลกา ก็จะนำเอาบริขาร คือ บาตรไตรจีวร มาถวายลูกโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พระองค์ในชาติสุดท้ายที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกทุกพระองค์
กาล เวลาอันยาวนานผ่านไปจนถึงปัจจุบัน พระโพธิสัตว์ลูกแม่กาเผือก ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกไปแล้วถึง ๔ พระองค์ ตามลำดับดังนี้
พระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๔ หมื่นปี มีเขมวตีนนครของพระเจ้าเขมะเป็นราชธานี
พระโกนาคมโนสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๓ หมื่นปี มีโสภวตีนนครของพระเจ้าโสภะเป็นราชธานี
พระกัสสโปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๒ หมื่นปี มีพาราณสีนครของพระเจ้ากิงกิเป็นราชธานี
พระโคตโมสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๘๐ ปี มีกบิลพัสดุ์นครของพระพุทธเจ้าสุทโธทนะเป็นราชธาน
ส่วน พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๕ อันเป็นลูกองค์สุดท้ายของแม่กาเผือก คือ พระศรีอริยเมตไตรย์ จักเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ในภัททกัป จะมีอายุถึง ๘ หมื่นปี
นิทานแม่กาเผือก
"ปฐมกาลปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ของพระโพธิสัตว์เจ้า ๕ พระองค์"
ย้อนหลังไป ๒๐ อสงไขย กับอีก ๑ มหาแสนกัปป์ สมัยอยู่ในช่วง มัณฑกัปป์ ที่มีพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาอุบัติตรัสรู้ในโลก ๔ พระองค์ คือ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตัณหังกรพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมธังกรพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธสรณังกรพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกรพุทธเจ้า
ในสมัย พระพุทธเจ้าทีปังกร นั้น ยังมีไก่ป่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ไม่ไกลจากอารามที่ประทับของพระองค์ ตอนกลางวันก็จะเที่ยวออกหากินภายในบริเวณวัด ได้มีโอกาสพบเห็นพระพุทธเจ้าอยู่เป็นประจำ ก็บังเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า จึงเกิดมีความปรารถนาอยากเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง...
วิตก อยู่หลายวันเพราะคิดว่าตัวเองเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน จะคิดการได้สำเร็จหรือไม่จนร่างกายผ่ายผอม อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันคืนเดือนเพ็ญ ๑๕ ค่ำ พระจันทร์เต็มดวงจึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อทูลถามปัญหาข้อใจนั้น พระองค์ทรงทราบด้วยญาณวิถีแห่งพระองค์ว่า จะมีไก่ตัวหนึ่งมีความประสงค์จะเข้ามาเฝ้าเพื่อต้องการทูลถามปัญหาทั้งปวง เป็นปัญหาที่จะนำมาซึ่งประโยชน์แก่สัตว์โลกทั้งหลาย เป็นปัญหาที่ไม่เคยมีใครๆ เคยถามมาก่อนพระองค์จึงได้ทรงตรัสเรียกไก่ตัวนั้นที่พักอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆ นั้นให้เข้ามาหา
"ดูก่อนเจ้าไก่ ! เจ้าจงเข้ามาเถิด เราจะช่วยยกปัญหาอันหนักออกจากจิตให้"
ฝ่าย ไก่เมื่อได้ยินพระดำรัสนี้ จึงเกิดความอัศจรรย์เป็นยิ่งนัก เพราะพระองค์ทรงรู้ความคิดของตนเอง จึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้พระองค์ให้ทรงรู้ความคิดของตนเอง จึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ พระองค์ทรงให้การต้อนรับในท่าอิริยาบถที่สบายเป็นกันเองกับไก่ด้วยการประทับ นั่งห้อยพระบาทคงข้างพระพุทธอาสน์เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถของพระวรกายแล้วได้ ตรัสว่า
“เจ้ามีปัญหาคาจิตอันใด ก็ถามเราได้เลย”
ไก้จึงทูลถามว่า
" ข้าพระพุทธองค์เป็นสัตว์ที่เกิดมาด้วยภูมิอันต่ำแต่มีความปรารถนาที่ตั้งใจ จริงอยากเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตกาลเสมือนดังพุทธองค์ ความต้องการวันนี้อของข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้ว่าจะบรรลุดังเจตจำนงหรือไม่"
เมื่อ พระพุทธองค์ได้ทราบแล้วจึงทรงแสดงธรรมการสร้างบารมีทังหลายให้ไก่ได้ฟังว่า จักสำเร็จได้ ด้วยการสร้างบารมีทั้งหลายอันยาวนานนั้น บุคคลที่ทำการสร้างบารมีนั้นเรียกว่าพระโพธิสัตว์ เมื่อยังไม่ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งนั้น เรียกว่าอนิยตโพธิสัตว์คือ พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่แน่ใจว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ ครั้นเมื่อได้รับพยากรร์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้วจึงได้ชื่อ ว่า
พระนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่จะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน
เมื่อ ไก่ได้ฟังแล้วจึงได้ทูลถามถึงพิธีการปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าครั้งแรก พระพุทธองค์จึงตรัสถึงประเพณีที่นิยมว่าให้ก่อกองทรายให้เป็นรูปเจดีย์และหา เครื่องสักการะต่างๆ อันควรที่จะหาได้ เช่น ดอกไม้ แล้วกล่าวคำสรรเสริญแก่พระรัตนตรัย ต่อจากนั้นให้ตั้งสัจจอธิษฐานปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ในอนาคต แล้วในที่สุดให้ตั้งใจสมาทานศีลห้าเป็นพื้นฐานก่อน เมื่อถึงวันพระก็ให้สมาทานศีลแปดตามกำลังความเหมาะสม และสภาวะของตนแล้วตั้งใจบำเพ็ญบารมีไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
"แม้เป็นสัตว์ก็สามารถปรารถนา
เป็นหน่อพุทธางกูลได้"
ไก่ประเสริฐตัวนั้น จึงทูลลาพระชินสีห์กลับไปยังที่พักของตนและได้เดินเวียนประทักษิณรอบแห่ง ธรรมสภานั้นก่อนด้วยความเคารพบูชาที่มีต่อพระพุทธองค์ ในวันต่อมาไก่ตัวนั้นก็ได้เดินไปที่หาดทรายอันขาวสะอาดบริสุทธิ์ดังดอกฝ้าย จึงได้ใช้เท้าของตัวเองเขี่ยทรายให้เป็นกอง แล้วตั้งจิตจำนงอันแน่วแน่พร้อมกับส่งเสียงออกมาทางปากว่า
จนทรายสูงขึ้นท่วมหัวไก่"
ยังมี เต่า ตัวหนึ่งออกหากินอยู่บริเวณนั้น ได้ยินไก่และอีเห็นจึงเกิดความสงสัยค่อยคลานมาดูแล้วก็ต้องอัศจรรย์ใจแก่ภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า ที่เห็นไก่และอีเห็นกำลังช่วยกันก่อเจดีย์ทรายปากก็ร้องว่า
อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพราะสัตว์ทั้งสองนี้ อันที่จริงนั้นจักอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เพราะถ้าอีเห็นเจอไก่เมื่อไรก็ต้องไล่จับกินเสียเมื่อนั้นแต่ณ ที่นี้สัตว์ทั้งสองอยู่ด้วยกันถมช่วยกันทำงานด้วยความตั้งใจสามัคคีกันอีก เต่าจึงเข้าไปถามไถ่เพื่อให้แจ้งใจ เมื่อได้รับทราบเหตุการณ์อันนั้นจากไก่ ซึ่งถือว่าเป็นพี่ใหญ่ ในขณะนั้นก็บังเกิดความเลื่อมใส จึงขออนุญาตไก่ช่วยร่วมสร้างเจดีย์ทรายกองนั้น เพื่อความที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าด้วย โดยเต่าได้ใช้หัวบ้าง กระดองบ้าง ใต้ท้องกระดองบ้าง ดันทรายขึ้นให้เป็นกองตามความสามารถของตน ที่จะกระทำได้ สัตว์ทั้งสามปฏิบัติก่อการใหญ่ โดยการพยายามทำทรายให้เป็นกองใหญ่ จนเวลาล่วงเลยไปถึงบ่ายสองโมง
จะขอกล่าวถึง โค ตัวหนึ่งกำหลังกินหญ้าอยู่บริเวณใกล้แม่น้ำเนรัญชรานั้น มีนายพรานคนหนึ่งออกป่าล่าสัตว์ได้เห็นโคตัวนั้น จึงใช้หน้าไม้ยิงใส่โคตัวนั้น แต้โคตัวนั้นได้วิ่งหนีไปจนไกล โคตัวนั้นได้หนีมาจนกระทั่งมาพบสัตว์ทั้งสามตัว คือ ไก่ อีเห็น เต่า กำลังก่อเจดีย์ทราย ดังนั้นจึงเข้าไปถามด้วยความอัศจรรย์ใจในเหตุการณ์นั้น ครั้นเมื่อได้รู้ดังนั้นจึงขออนุญาตจากไก่ได้ร่วมสร้างเจดีย์ทราย
เมื่อ ไก่อนุญาตแล้วโคก็เข้าไปช่วยโดยใช้เท้าทั้งข้างหน้าและข้างหลังเขี่ยทรายให้ สูงขึ้น บางครั้งก็พูดออกมาว่า ถ้าแม้นายพรานตามมาทันและจะมาฆ่าแล่เอาเนื้อตนไป ก็ไม่เสียดายและ พร้อมที่จะทานเลือดเนื้อนี้ แลชีวิตนี้ เพื่อพระโพธิญาณอันประเสริฐนั้น แล้วก็เปล่งคำว่า
ไปพร้อม กับสัตว์ทั้งสามนั้น"
ฝ่าย นายพราน เมื่อติดตามโคนั้นมาใกล้เข้าได้ยินสัตว์ทั้งสี่ร้องระเบ็งเซ็งแซ่นั้น จึงเข้าไปแอบดูได้เห็นอาการของสัตว์ทั้งสี่นั้นแล้ว จึงซ่อนอาวุธไว้ในป่า แล้วจึงเดินเข้าไปหาสัตว์ทั้งสี่นั้น ฝ่ายสัตว์ทั้งสี่นั้นก็ไม่ได้แสดงอาการสะดุ้งตกใจกลัวแม้แต่น้อย กลับมองดูตนเองด้วยความเมตตา จึงเข้าไปถามไถ่ผู้เป็นประธานใหญ่ในที่นั่น จึงได้เล่าเหตุการณ์นั้นให้ฟัง นายพรานนั้นถือว่าตนเองเป็นมนุษย์ย่อมมีปัญญามากกว่าสัตว์ทั้งสี่นั้นจึงลอง ถามปัญหาธรรมต่างๆ จากไก่ ไก่ก็ตอบให้หายข้องใจได้หมด แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อเต็มที่ จึงถามว่าปัญหาที่ท่านตอบมาท่านรู้มาแต่ที่ใด ไก่จึงตอบว่าตนเองเพิ่งได้ไปเฝ้า พระพุทธเจ้าทีปังกร มาเมื่อวานนี้เอง
นาย พรานจึงเชื่อและขอร่วมในการสร้างบารมีจากไก่ด้วย ไก่และสัตว์ทั้งหลาย คือ อีเห็น เต่า โค ก็อนุโมทนาและยินดีให้ร่วม นายพรานจึงได้สร้างเจดีย์กับสัตว์เหล่านั้น ด้วยตนเองเป็นมนุษย์สามารถทำการสร้างเจดีย์ได้รวดเร็วและสวยงาม ครั้งเสร็จทั้งหมดจึงให้นายพรานนั้นไปหาดอกไม้มา นายพรานก็ได้ไปเก็บดอกบัวสีขาวสะอาด ซึ่งกำลังตูมอยู่มา ๕ ดอก ทั้งหมดได้พากันอาบน้ำชำระร่างกายแล้ว จึงพากันไปสักการะเจดีย์ทรายนั้น
และนายพราน ตามลำดับ"
หลังจากที่หน่อพุทธางกูรทั้ง ๕ ตายจากภพชาติแห่ง ไก่ อีเห็น เต่า โค และมนุษย์ ด้วยแรงแห่งสัจจาอธิษฐานสัญญาไว้ต่อกัน เมื่อคราวนั้นความปรารถนาต่อความเป็นพุทธเจ้า ...
ชาติต่อมาจึงได้มาเกิดร่วมพร้อมกันเป็นลูกของ แม่กาเผือก โดยที่กาเผือกสองผัวเมียได้อาศัยอยู่ในป่าใหญ่ ทำรังอยู่บนต้นมะเดื่อใกล้ริมฝั่งแม่น้ำ อยู่ต่อมาแม่กาเผือกก็ตกไข่ออกมา ๕ ฟอง แม่กาเผือก ๒ ผัวเมีย ก็ได้แบ่งวาระกันดูแลรักษาไข่เป็นอย่างดีด้วยความรักความเอ็นดู ถ้าวันไหนแม่กาเผือกออกจากรังไปหาอาหาร ผู้มีหน้าที่เฝ้าดูไข่ก็ต้องเป็นของแม่กาเผือก ในทางตรงกันข้ามถ้าวันไหนแม่กาเผือกได้ออกจากรังไปหาอาหารบ้าง ผู้ที่รับผิดชอบรังไข่ทั้ง ๕ ฟอง ก็ต้องเป็นของพ่อกาเผือก ผลัดกันทำหน้าที่นี้เรื่อยมา
อยู่ มาวันหนึ่งวาระแห่งการหาอาหารเป็นของพ่อกาเผือกได้ออกไปจากรังตั้งแต่เช้า วันนั้นบังเอิญว่าแม่กาเผือกมีธุระที่จะออกไปนอกรังบ้าง จึงได้ทิ้งไข่ไว้แต่เพียงลำพัง เป็นจังหวะเหมาะที่ฝนได้ตกลงมาห่าใหญ่จนกลายเป็นพายุมีลมพัดฟ้าร้อง ฟ้าผ่าบ้าง ประหนึ่งว่ามีความพิโรธโกรธใครมิทราบ สายลมได้พัดพาเอาต้นไม้โค่นลงมาราบเรียบดังหน้ากลอง สิ่งไหนก็ต้านทานไม่อยู่ แม้แต่ขุนเขาเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอดเช่นกัน ดีที่ยังมีพืชพันธ์แมกไม้ต่างปกคลุมเป็นเกาะป้องกันไว้ให้ มิฉะนั้นแล้วก็คงจะลอยไปตามสายลมอย่างไม่มีวันกลับ
ด้วย ฤทธิ์เดชแห่งสายลมประกอบกับสายฝน จึงได้พัดพาต้นไม้มะเดื่ออันเป็นที่ทำรังของสองผัวเมียกาเผือก ได้รับอานิสงส์พลอยหักพังไปตามพันธุ์ไม้อื่นๆ ด้วย ทำให้ไข่ทั้ง ๕ ฟองพลัดตกลงไปสู่สายน้ำ
"ด้วยโอกาสวาสนาบารมีธรรมแห่งพระโพธิสัตว์ธรรมชาติอันใดก็ทำอันตรายมิได้"
โดย มิได้ตกลงบนพื้นดิน โขดหิน กระทบไม้ สิ่งที่จะเป็นอันตรายต่อไข่นั้นต่างก็หลีกทางให้ โดยความพอใจ สายแห่งน้ำฝนบวกกับกระแสไหลแห่งแม่น้ำ ได้พักนำพาเอาไข่ทั้ง ๕ ฟอง ไปสู่สถานที่ต่างกันตามยถากรรมแห่งหน่อพุทธังกูรนั้น สายแห่งน้ำทำให้ไข่ทั้ง ๕ ฟอง ได้รู้จักแห่งความพลัดพรากจากกันโยไหลไปตามกระแสน้ำคนละทิศทางทางกัน
พอ ฝนหยุดตกเวลาก็ล่วงเลยไปหลายชั่วยาม กว่ากาเผือกสองผัวเมียจะบินกลับมาถึงรังได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญ เพราะภูมิประเทศแปรเปลี่ยนไปด้วยอำนาจแห่งพายุอันแสนโหดร้ายนั้น เที่ยวบินเสาะแสวงหาต้นไม้มะเดื่อที่ทำรังกว่าจะได้พบก็นาน แต่ก็ได้เห็นแต่เพียงซากไม้มะเดื่อที่โค่นล้มลงฟาดท่าแม่น้ำเท่านั้น มองไปตามซอกมุมิ่งก้านสาขาไม้มะเดื่อก็ไม่พบฟองไข่ของตน จึงกลับบินสู่ท้องฟ้าอีกครั้งกลับไปมาสายตาจ้องมองหาไข่ของตนก็ไม่พบ กลับบินลงมาเที่ยวหาบนพื้นดิน ผิวน้ำ ซอกโขดหินก็ยังไม่พบ คิดว่าลูกของตนคงตายไปแล้ว
ด้วย ความอาดูรโศกเศร้าก็เกิดขึ้นยิ่งเท่าทวีคูณ ด้วยความรักที่มีต่อไข่ของตน ไม่เป็นอันจะกินจะนอนแลไม่ได้พากันออกหาอาหารเป็นเวลาหลายวัน ร่างกายก็ซูบผอมจนต้องตรอมใจตาในที่สุด ด้วยความอาลัยอาดูรต่อลูกรัก ด้วยแรงแห่งผลกรรมที่ได้กระทำบุญกุศลบารมีที่ได้เป็นผู้ให้กำเนิดก่อแห่ง หน่อพุทธังกูร ด้วยเจตนาผลนำส่งให้แม่กาเผือกได้ไปเกิดในพรหมโลกเป็นพระพรหม ชื่อว่า ฆฏิการมหาพรหม เสวยสุขในสวรรค์พรุ่งพร้อมไปด้วยทิพยสมบัติ มีเทพธิดาเป็นบริวารมากมาย
กล่าวถึงไข่หน่อพุทธางกูรทั้ง ๕ ใบ เมื่อสายน้ำได้พัดพาไปอย่างไม่รู้ทิศทาง เมื่อฝนหยุด น้ำก็ลด ไข่ทั้ง ๕ ฟอง ก็ตกไปคนละทิศละทางใกล้บ้างไกลบ้าง ตามแรงแห่งกระแสน้ำที่จะพัดพาไป
ไข่ใบที่ ๑ ไหลลอยไปตกค้างอยู่ชายป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริเวณที่แม่ไก่ตัวหนึ่งมีชื่อว่า กกุสันธตาทีสวาทีลง มากินน้ำและอายน้ำ ด้วยเดชะแห่งบุญของหน่อพุทธังกูรจึงดลจิตให้แม่ไก่เกิดความเมตตาแล้วได้นำไป ฟูมฟักเลี้ยงดูไว้ เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ไข่นั้นก็ฟักออกมาแต่ไม่ออกมาเป็นสัตว์โดยทั่วไป กลับฟักออกมาเป็นมนุษย์มีบุคลิกลักษณะครบ ๓๒ บริบูรณ์ด้วยความงามสดใสแห่งเพศชาย แม่ไก่ก็เฝ้าเลี้ยงไว้เสาะแสวงหาอาหารหล่อเลี้ยงมาจนเติบใหญ่
ไข่ใบที่ ๒ ไหลลอยไปตามกระแสน้ำไปตกค้างอยู่ ณ ชายป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่อยู่ของแม่นาคตัวหนึ่ง มีชื่อว่า โกนาคมโน ใน ขณะที่แม่นาคกำลังแวกว่ายไปมาตามกระแสน้ำ กำลังเพลิดเพลินไปตามกระแสน้ำไหลอยู่นั้น ก็เหลือบตามไปเห็นไข่ฟองหนึ่ง ซึ่งน้ำซัดมาติอยู่ที่ชายหาด มานาคจึงนำไข่ไปเก็บไว้ในถ้ำ บำรุงเฝ้ารักษาไว้เป็นอย่างดี ด้วยความรักเสมือนว่าเป็นลูกของตนแท้ๆ อยู่มาไม่นาน ไข่ใบนั้นก็แตกออกมา ที่ปรากฏแก่สายตาของแม่นาค ภายในไข่ใบนั้นเป็นร่างกายของทารกผู้ชายรูปร่างหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู แม่นาคได้เฝ้าถนอมรักเลี้ยงดูแสวงหาอาหารมาให้กินอย่างไม่อดอยาก จนทารกนั้นเติมใหญ่ขึ้นมามีรูปร่างหน้าตาดีบุคลิกน่าเกรงขาม
ไข่ใบที่ ๓ ไหลไปตามกระแสน้ำ มุ่งหน้าไปไกลไปตกค้างอยู่บนเกาะทรายแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่แม่เต่าตัวหนึ่งชื่อว่า กัสสัปโป กำลังจะไปตากอากาศบนหาดทรายนั้น หลังจากที่เที่ยวเสาะแสวงหาอาหารการกินจนอิ่มท้องแล้ว จึงไปแสวงหาที่พักผ่อนบ้าง ในบางขณะที่กำลังขึ้นจากแม่น้ำก็ได้พบไข่ใบหนึ่ง ทันทีที่ได้พบก็เกิดความเตตารักใคร่จึงได้นำไปเก็บไว้ อยู่ต่อมาอีกไม่นานไข่ใบนั้นก็ฟักออกมาเป็นเด็กน้อยรุปงามโสภา แม่เต่าก็เลี้ยงมาจนเติบใหญ่ตามกำลังความสามารถของตน แต่มนุษย์นั้นก็มีความกตัญญูรู้คุณเมื่อโตแล้วก็หาเลี้ยงตอบบ้างเช่นกัน
ไข่ใบที่ ๔ น้ำก็ซัดพาลอยไปค้างอยู่ริมฝั่งแม่น้ำบริเวณท่าแห่งหนึ่ง เป็นท่าที่แม่โคตัวหนึ่งชื่อว่า โคตรมะ ลงมากินน้ำที่ท่าน้ำอยู่เป็นประจำ วันนั้นได้พบไข่ใบหนึ่งก็เกิดความเมตตาปราณีเกิดกุศลจิตขึ้นมา จึงนำไปเก็บไว้ ณ ที่พักของตน อยู่มาไม่นาน ไข่ใบนั้นก็แตกออกมาเป็นมนุษย์ดูน่ารักน่าเอ็นดู แม่โคก็เอานมตนเองให้กินเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่
ไข่ใบที่ ๕ ได้ไหลไปตามกระแสน้ำซัดไปตกค้างอยู่ชายป่าท่าน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นท่าน้ำที่แม่ราชสีห์ตัวหนึ่งชื่อว่า อริยเมตไตรโย กำลังจะลงมากินน้ำและพบไข่ใบนั้นเข้าก็เกิดกุศลเมตตาจิต คิดเป็นกุศลจึงได้นำเอาไข่ใบนั้นเก็บไปรักษาไว้เป็นอย่างดี ณ ภายในถ้ำอันเป็นที่อยู่ของคนเอง อยู่มาไม่นานไข่นั้นก็แตกกะเทาะเปลือกออกมา ภายในไข่นั้นเป็นร่างของทารก ราชสีห์ก็เฝ้าเลี้ยงดูแสวงหาอาหารมาป้อน ป้องกันอันตรายต่างๆ ให้จนทารกนั้นเติบใหญ่ขึ้นมา
วันเวลาล่วงเลยไป... เด็กทั้ง ๕ คน ก็เจริญเติบโตขึ้นมาจนอายุย่างเข้า ๑๖ ปี จึงได้เกิดความสงสัยว่า
“เรานี้เกิดมาจากไหน แม่ที่เลี้ยงเราจนเติบใหญ่อยู่จนทุกวันนี้เป็นแม่บังเกิดเกล้าจริงหรือ ? ด้วยว่าแม่เราเป็นสัตว์ แต่เราเองเป็นมนุษย์ ไม่น่าจะใช่เป็นแม่ผู้บังเกิดเกล้าแน่นอน”
ทั้ง ๕ คน ต่างก็คิดสงสัยเหมือนกนหมดทุกคน จึงตัดสินใจเข้าไปถามแม่เลี้ยงของตน ถึงเหตุการณ์แต่หนหลังว่า มีความเป้นมาอย่างไร ทั้งแม่ไก่ มานาค แม่เต่า แม่โค และแม่ราชสีห์ ต่างก็เล่าและตอบถึงเรื่องราวเหตุการณ์ตั้งแต่หนหลังให้ลูกฟังว่า
" ได้พบเห็นไข่ลอยมาตามสายน้ำมาติดเกาะ ติดชายหาด ติดท่าน้ำ แม่ก็เลยเก็บมาเฝ้าดูแลรักษาไว้ ไม่นานเจ้าก็กะเทาะเปลือกออกมาเป็นทารก แม่ก็เลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่จนถึงทุกวันนี้แหละ แท้จริงแล้วแม่เป็นเพียงแม่เลี้ยง มิใช่แม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริงของเจ้าหรอก อันว่าแม่ที่แท้จริงของเจ้านั้นแม่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน แม่ก็อยากจะทราบอยู่เหมือนกัน เพราะเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะพบเจ้านั้น ก่อนนั้นฝนตกลงมาอย่างแรง อีกทั้งมีพยุพัดแรงจัดด้วยต้นไม้หักกันระเนระนาด พอหลังจากนั้นมาแม่ก็ได้พบเจ้า ซึ่งขณะนั้นยังคงเป็นไข่อยู่"
เมื่อหน่อพุทธางกูรทั้ง ๕ ได้รับทราบแห่งความจริงของชีวิตแล้ว ก็คิดอยากพบแม่ที่แท้จริง จึงไปกราบลาแม่เลี้ยงของตนเพื่อออกเดินทางไปติดตามหาแม่ผู้บังเกิดเกล้า แต่การไปนั้นจะขอบวชเป็นฤาษีด้วยเพื่อสะดวกต่อการแสวงหา อีกทั้งเพื่อเป็นการบำเพ็ญบารมีด้วย จึงได้เข้าไปอาศัยอยู่ในป่าต่อไป
เหตุการณ์ แห่งหน่อพุทธังกูรทั้ง ๕ กระทำอยู่นั้นเป็นพฤติกรรมที่ต่างก็ได้นัดหมายกันไว้ก่อน ต่างก็กระทำเหมือนกันทุก ๆ อย่าง แม่เลี้ยงทั้ง ๕ ก็อนุญาตและอวยชัยให้พรให้ไปดีมีสุขสมหวังปราศจากทุกข์โศกโรคภัยต่างๆ ไป แล้วก็อย่าให้ลับ ขอให้กลับมาเยี่ยมเยือนแม่บ้าง ถ้าได้ถึงฝั่งตรัสรู้ธรรมได้เป็นพระโพธิญาณพุทธเจ้าแล้ว แม่ก็ขอฝากชื่อแม่ไว้ด้วย เพื่อจะได้เป็นอนุสรณ์ของแม่ไว้ในวันข้างหน้า ด้วยว่า
แม่ไก่ขอฝากชื่อของตนเองไว้กับลูก ขอให้เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าในอนาคตว่า “กุกกุสันธะ”
แม่นาคขอฝากชื่อของตนเองไว้กับลูก ขอให้เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าในอนาคตว่า “โกนาคมนะ”
แม่เต่าขอฝากชื่อของตนเองไว้กับลูก ขอให้เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าในอนาคตว่า “กัสสปะ”
แม่โคขอฝากชื่อของตนเองไว้กับลูก ขอให้เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าในอนาคตว่า “โคตมะ”
แม่ราชสีห์ขอฝากชื่อของตนเองไว้กับลูก ขอให้เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าในอนาคตว่า“อริยเมตโตรยะ”
หลังจากนั้นชายหนุ่มทั้ง ๕ ก็เดินทางไปบำเพ็ญศีลภาวนาอยู่ในป่าตามสถานที่ของตนเองต่อไป
กล่าวถึง ท้าวสักกเทวราช เมื่อได้ทราบว่าหน่อพุทธางกูรทั้ง ๕ ออกบวชเป็นฤาษีเดินทางเข้าไปพงไพร จึงตรัสสั่งให้ วิสสุกรรมเทพบุตร ให้ลงไปจัดเตรียมการต้อนรับ
วิสสุกรรมเทพบุตร เมื่อได้รับสั่งเช่นนี้แล้ว จึงเหาะลงมายังโลกมนุษย์ตรงไปยังป่าหิมพานต์ ตรงสถานที่หน่อพุทธังกูรเดินทางเข้าไปนั้น แล้วเนรมิตอาศรมทั้งห้าหลังเรียงรายกันไปตามลำดับ ซึ่งจัดตั้งห่างกันไว้พอเหมาะพอควร จัดเครื่องบริขารอันเป็นของใช้สอยสำหรับดาบสทั้งหลาย และได้จัดเตรียมอาหารการกินไว้อย่างครบครัน พร้อมกันนั้นก็ได้เนรมิตต้นไทรใหญ่ให้เป็นที่ร่มเงาร่มเย็นไว้ใกล้อาศรมละ หนึ่งต้น และได้เนรมิตบังลังก์ไว้ด้วย เพื่อจะให้ฤาษีทั้ง ๕ ได้ผักผ่อนคลายอารมณ์ตามเวลาอันควร พร้อมได้จารึกชื่อฤาษีทั้ง ๕ ไว้ที่หน้าอาศรม
เมื่อ หน่อพุทธางกูรทั้ง ๕ แต่ละองค์ต่างก็เดินทางมาถึงอาศรมที่เนรมิตไว้นั้น และได้อ่านคำจารึกที่ได้เขียนไว้ที่อาศรมนั้น ต่างก็รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากพระอินทร์เป็นผู้สร้างไว้เพื่อตน เมื่อเห็นเครื่องบริขารของดาบสที่จัดเตรียมไว้ จึงได้บวชเป็นฤาษีแล้วตั้งใจบำเพ็ญเพียรภาวนาอย่างจริงจัง ฤาษีทั้ง ๕ ได้บำเพ็ญธรรมกรรมฐานอย่างตั้งใจทำ เพื่อต้องการอยากเห็นหน้าแม่ผู้บังเกิดเกล้าของตน หลังจากที่ได้พลัดพรากจากกันมาตั้งแต่เป็นไข่นั้น
อยู่ มาวันหนึ่ง หลังจากที่ได้บำเพ็ญตบะไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ฤาษีทั้ง ๕ ก็ได้ออกมาพักผ่อนตามที่ต่างๆ ด้วยความเบิกบานสำราญใจ จึงมาได้พบกันเข้าโดยบังเอิญที่ภูเขาลูกหนึ่ง ชื่อว่า สิงคุตตระปิฎฐา ใต้ต้นไม้นิโครธอันมีกิ่งก้านสาขาที่ร่มเย็นสบายยิ่งนัก เมื่อได้มีโอกาสต่างก็ไต่ถามชื่อเสียงเรียงนามของกันและกัน พร้อมทั้งความเป็นมา
เมื่อ ได้ทราบความเป็นมาแห่งชีวิตของแต่ละท่านแล้ว พวกตนทั้ง ๕ ต่างก็เกิดมาจากไข่เหมือนกัน มีเหตุการณ์ที่จะต้องพลัดพรากจากกัน โดยถูกกระแสน้ำพัดพาที่ต่างกัน แล้วได้อาศัยอยู่กับสัตว์ผู้ที่มีจิตเมตตากรุณาได้นำเอาเลี้ยงไว้จนมีชีวิต รอดมาได้ พร้อมทั้งได้ออกเดินทางมาบวชเป็นฤาษีในป่านี้ เพื่อต้องการอยากเห็นหน้าแม่ ซึ่งเหตุการณ์แห่งชีวิตดังกล่าวเหมือนกันทุกประการ จากนั้นก็ได้จัดเรียงลำดับพี่น้องกันว่าคนที่ตกค้างอยู่หัวน้ำเป็นพี่คนโต คนที่ตกค้างอยู่ใต้แม่น้ำถัดมาก็เป็นน้องถัดกันมาตามลำดับก่อนหลัง ทั้งนี้ก็เพราะว่าทั้ง ๕ คนได้สันนิษฐานเอาว่า
ดังนั้นจึงได้พากันตั้งจิตอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงดลบันดาลให้แม่บังเกิดเกล้าของเราชงมาปรากฏกายต่อหน้าพวกเราด้วยเถิด
กล่าวถึง แม่กาเผือก เมื่อกลับมาที่รังของตนแล้ว ไม่เห็นหน้าลูกก็เสียใจอาลัยรักจนขาดใจตาย แล้วไปเกิดเป็น ฆฏิการพรหม ในสวรรค์จนอายุได้ ๑๒,๐๐๐ ปี ด้วยอานุภาพแห่งอธิษฐานบารมี หลังจากที่ฤาษีทั้ง ๕ อธิษฐานแล้วก็ร้อนไปถึงฆฏิการพรหมผู้เป็นแม่ เมื่อเล็งญาณวิถีอันวิเศษลงมายังเมืองมนุษย์แล้ว ได้เห็นลูกชายทั้ง ๕ คนได้เป็นฤาษีบำเพ็ญเพียรบารมีอยู่ท่ามกลางป่าหิมพานต์ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่อยากจะเห็นหน้าผู้เป็นแม่ เมื่อรู้ดังนี้แล้วจึงลงจากสวรรค์ จำแลงแปลงกายเป็นกาเผือก เปล่งเสียงร้องออกมาว่า
"กา กา กา กา กา" เรียกลูกทั้ง ๕ ที่เป็นฤาษีให้เข้ามาหา เมื่อฤาษีทั้ง ๕ ได้ยินเช่นนั้น จึงได้พากันเข้ามาหา ต่อจากนั้นจึงได้พากันซักถามถึงสาเหตุแห่งความเป็นมาตั้งแต่หลังก่อนเก่า ฆฏิการพรหมจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ลูกทั้ง ๕ ฟัง ตั้งแต่ต้นจนถึงวันที่ได้พลัดพรากจากกัน เมื่อลูก ๆทั้งหลายต้องการอยากจะพบเห็นแม่ก็เลยลงมาจากสวรรค์ตามความตั้งใจของลูก จึงจำแลงแปลงกายเป็นกาเผือกมา เพื่อจะบอกให้รู้ว่าแม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริงของลูก คือ กาเผือก
ฆฏิการพรหม เมื่อรู้ถึงความปรารถนาของลูก ๆ มีความยินดีปรีดาจึงได้ทำด้ายตีนกาให้ลูกคนละเส้น แล้วบอกว่า
“ตีนกานี้ เป็นรูปรอยเท้าของแม่ ถ้ารักและคิดถึงแม่ก็ให้เคารพกราบไหว้ด้ายตีนกานี้ ก็จะสำเร็จสมปรารถนา”
และแล้ว ฆฏิการพรหมก็ได้กลับคืนไปยังสวรรค์ตามเดิม
ฤาษี ทั้ง ๕ เมื่อได้รับด้ายตีนกาจากแม่แล้ว จึงนำไปตั้งไว้ในสถานที่อันสมควร ตั้งใจบำเพ็ญเพียรภาวนา และเคารพกราบไหว้ด้ายตีนกาที่แม่ให้ไว้นั้นเป็นประจำทุก ๆวัน ครั้นตายจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต เมื่อจิตติจากสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว ก็ได้มาเวียนว่ายตายเกิดท่องเที่ยวไปเกิดในภพต่างๆ จนนับภพนับชาติไม่ถ้วน ทั้งนี้ ก็เพื่อบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทิศ เมื่อบำเพียรบารมีครบแล้วก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าตามลำดับ